เรียบเรียงจากโอวาทหลวงพ่อธัมมชโย :เมื่อวันอาทิตย์
ที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๑ (๐๙.๓๐ - ๑๐.๓๐ น.)
พระบรมพุทธเจ้า
คือ พระพุทธเจ้าที่ท่านได้เข้าสู่อายตนนิพพานเป็นองค์แรก ๆ พระพุทธเจ้ามีมากมายก่ายกองนับกันไม่ถ้วนทีเดียว
เพราะว่าโลกนี้ กัปนี้ตั้งกันมาตั้งแต่เมื่อไรยังไม่มีใครทราบ แต่ว่ามีกันมายาวนานทีเดียว
บางกัปก็มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้พระองค์หนึ่ง
บางกัปก็สองพระองค์ สามพระองค์ กัปของเรามีถึงห้าพระองค์ เรียกว่า ภัทรกัป เป็นกัปที่มีความเจริญ
คือ มีผู้มีบุญ มีบารมี มีใจแน่วแน่ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เปลี่ยนมาหลายอสงไขยชาติ
มาตรัสรู้ถึงห้าพระองค์ กัปไหนไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้น ก็จะมีพระปัจเจกพุทธเจ้ามาบังเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีมากมายก่ายกองที่ท่านดับขันธปรินิพพานเข้าไปสู่อายตนนิพพานนับไม่ถ้วนทีเดียว
เพราะนับไม่ถ้วนจึงได้อุปมาเทียบเอาไว้กับเม็ดทราย ทรายในหนึ่งกำมือ ถ้าเราจะมานับดู
กว่าจะนับให้ครบทุกเม็ดได้ยังใช้เวลานาน นับกันไม่ไหว แต่ทรายในมหาสมุทรทั้งหลายซึ่งมันมากมายก่ายกองกันขนาดนั้นที่เรานับกันไม่ไหวในแต่ละเม็ด
ยังน้อยกว่าจำนวนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ท่านดับขันธปรินิพานไปสู่อายตนนิพพาน
นับกันไม่ถ้วนทีเดียว
พระบรมพุทธเจ้า
บรม แปลว่า ยิ่งใหญ่
บรมพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าที่มีบารมีแก่
ๆ ใหญ่ด้วยบารมี ใหญ่ด้วยพระวรกาย กายท่านโตใหญ่ ใหญ่ด้วยความรอบรู้ ด้วยความบริสุทธิ์ทุกอย่าง
พระบรมพุทธเจ้า
เข้านิพพานไปเก่า ๆ แก่ ๆ โน้น ซึ่งเราจะรู้เห็นได้ก็ต่อเมื่อเราได้เข้าถึงพระธรรมกาย
ทำวิชชาธรรมกายเป็น พระธรรมกายท่านมีธรรมจักขุ มีญาณทัสสนะ ธรรมจักขุ หรือดวงตาของท่านนั้น
มองเห็นไปได้รอบทิศ มีความบริสุทธิ์ เห็นได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่มีอะไรกำบังได้ ญาณทัสสนะ
เครื่องรู้ คือ เห็นไปถึงไหน ก็รู้ได้ถึงนั่น มีในพระธรรมกาย ถ้าเราได้เข้าถึงพระธรรมกาย
ทำวิชชาเป็นแล้วก็จะเกิดธรรมจักขุและญาณทัสสนะจะไปเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านดับขันธปรินิพพานที่ผ่านนานมาแล้ว
ที่ว่ามากมายกว่าเม็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้งสี่นี้ได้
วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2566