คนในโลกนี้ระลึกนึกถึงผู้ที่ละโลกแล้วด้วยน้ำตา คือ ให้น้ำตา
ให้ความโศก ให้ความบ่นเพ้อพิไรรำพัน
ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และผู้ที่ตายแล้ว คนในโลกมักจะเป็นกันอย่างนี้
เพราะว่าขาดสติกับปัญญา
ขาดความรู้ตามความเป็นจริงของชีวิตว่า
ความแตกดับของชีวิตนั้นเป็นของธรรมดา การละโลกก็เป็นของธรรมดา
ไม่ใช่อัศจรรย์อะไร ไม่เหมือนกับดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศเหนือ แล้วตกทางทิศใต้ นั่นเป็นเหตุอัศจรรย์ แต่ความตายไม่ใช่อัศจรรย์
คนในโลกนี้ส่วนมากระลึกนึกถึงผู้ที่ตายแล้วด้วยน้ำตา ด้วยความโศก ทำลายตัวเองให้เศร้าหมอง ให้ขุ่นมัว แล้วเป็นเหตุพลอยให้หมู่ญาตินั้นเศร้าหมองขุ่นมัวตามไปด้วย เขาระลึกนึกถึงผู้ตายอย่างนี้
เขาให้ความรักแก่ผู้ตายด้วยความโศก ด้วยความแห้งใจ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เหมือนชักศึกเข้าบ้าน
หรือให้ของแสลงกับคนป่วย ตัวเราก็ป่วยอยู่แล้ว
แต่ให้ของแสลง คือความเข้าใจผิดกับใจ ซึ่งป่วยทางใจอยู่แล้ว
เพิ่มพูนมากขึ้น
แต่ผู้ที่ฉลาดมีปัญญา จะระลึกนึกถึงผู้ที่เป็นที่รัก ที่ละโลกไปแล้ว ด้วยการบำเพ็ญบุญ แล้วอุทิศบุญกุศลไปให้
โดยทำตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว ที่เข้าใจโลกและชีวิตอย่างแท้จริง ใครทำอย่างนี้ ได้ชื่อว่าเดินตามรอยบาทของพระพุทธองค์
ท่านไปถึงไหนก็เดินตามท่านไปถึงนั่น ท่านไปถึงสวรรค์ เราก็เดินตามท่านถึงสวรรค์ ท่านเดินถึงพรหม ก็เดินตามท่านถึงพรหม
ท่านเดินถึงอรูปพรหม ก็เดินตามท่านถึงอรูปพรหม
ท่านเดินถึงพระนิพพาน ก็เดินตามท่านถึงพระนิพพาน
คุณครูไม่ใหญ่
20 พฤษภาคม พ.ศ. 2527
วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561