โอวาทวันเข้าพรรษาพระเทพญาณมหามุนี
(หลวงพ่อธัมมชโย)
เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๒
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๗ เวลา ๑๖.๐๐ –
๑๖.๓๐ น.
ณ
อุโบสถ วัดพระธรรมกาย
-----------------------------------------------------------
วันนี้เป็นวันที่เราได้พร้อมใจกันอธิษฐานจิตอยู่จำพรรษา
ณ วัดพระธรรมกาย ในฤดูกาลเข้าพรรษานี้
เป็นฤดูกาลที่เหมาะสมต่อการบำเพ็ญสมณธรรมอย่างยิ่ง เพราะอากาศไม่ร้อนเกินไป
ไม่หนาวเกินไป
ฉะนั้น ภายในพรรษานี้ ซึ่งมีเวลาจำกัดเหลือเกิน
ก็ให้ลูกทุกๆ รูปทั้งพระเก่าพระใหม่ที่ได้ตั้งใจมาบวชกันแล้ว
ให้ใช้ทุกอนุวินาทีตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมกัน ตั้งใจฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ เป็นพระแท้
บวชให้ได้ ๒ ชั้น ให้สมกับที่เราได้ตั้งใจมาบวช อย่าสักแต่ว่าบวชไปอย่างนั้นๆ
ให้มันหมดไปในแต่ละวันแต่ละคืน
เพศสมณะเป็นเพศภาวะอันสูงสุด
เฉพาะผู้มีบุญมีบารมีที่สั่งสมบุญบารมีมายาวนานเท่านั้น จึงจะเข้าสู่เพศภาวะนี้ได้
ลูกทุกๆ รูป
ล้วนเป็นผู้มีบุญบารมีกันมาทั้งสิ้น จึงได้ตัดสินใจทิ้งทุกอย่าง
ปล่อยวางทุกสิ่งในทางโลก ให้โอกาสตัวเองมาบวช มีบุญมีบารมีที่จะได้เข้าถึงธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บรรลุ
ขอเพียงให้ตั้งใจบำเพ็ญสมณธรรมให้เต็มที่
อย่าให้วันคืนผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
ต้องรีบชิงช่วงที่เรายังพอมีเรี่ยวมีแรง ยังแข็งแรงอยู่ บำเพ็ญสมณธรรมให้เต็มที่
ธรรมที่จะทำให้เป็นสมณะนั้น
คือ การฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง ให้ใจเราอยู่กับตัว อยู่ที่ฐานตั้งตนดั้งเดิมภายใน คือ
ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เราบรรลุธรรมได้
กลั่นจิตกลั่นใจของเราให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ได้
จะหลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารได้
พญามารกลัวคนใจหยุด
จะหลุดพ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามารได้
จะต้องนำใจกลับเข้ามาสู่ภายใน ให้มาหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ตรงนี้
เป็นสิ่งที่พญามารกลัวนักกลัวหนาทีเดียว กลัวใจของลูกทุกๆ รูป
มาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
เพราะว่า ใจมาหยุดอยู่ที่ตรงนี้แล้ว
ความบริสุทธิ์กายวาจาใจจะบังเกิดขึ้น จนเห็นความบริสุทธิ์เป็นดวงใสๆ
บังเกิดขึ้นที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ซึ่งจะนำไปสู่การเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา
จิตในจิต ธรรมในธรรม คือ จะเห็นกายต่างๆ ซ้อนๆ กันอยู่ภายใน เป็นชั้นๆ เข้าไป
เป็นต้น ก็จะทำให้พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร เพราะฉะนั้นพญามารจึงกลัวนักกลัวหนาทีเดียว
ด้วยความกลัวของพญามาร
จึงได้ดึงใจของเราหลุดออกจากศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ให้ไปติดกับโลกภายนอก ติดรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ แล้วก็ให้ใจมีเครื่องพันธนาการของชีวิต
วนเวียนอยู่อย่างนั้นแหละ
เมื่อจิตหยาบพญามารก็จะสอดธาตุธรรมที่ไม่บริสุทธิ์
เป็นบาป เป็นอกุศล สอดกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง เข้ามาบังคับกาย บังคับวาจา
บังคับใจ ให้เรากระทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งความคิด คำพูด และการกระทำ
แล้วก็ปรับคดีเรา ให้มีวิบากกรรมติดกันไปข้ามภพข้ามชาติ
อีกทั้ง เอาความไม่รู้
ธาตุที่ไม่บริสุทธิ์มาครอบงำเห็นจำคิดรู้ หรือกายวาจาใจของเรา
จนหมดสภาพที่จะไปรู้เรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต ชีวิตจึงวนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร
เวียนตายเวียนเกิดแบบผู้ไม่รู้ ก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ซ้ำๆ ซากๆ
แล้วก็เอาวิบากกรรมมาบังคับให้เราไปอบายบ้าง ไปเกิดในมหานรก เป็นอสุรกาย
สัตว์เดียรัจฉาน หรือมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่รู้อีก ให้เจอวิบากกรรมต่างๆ อีกมากมาย
กว่าเราจะรู้ตัว ก็ต้องมาเจอท่านผู้รู้
ก็ต้องให้ค่อยๆ
สั่งสมบุญบารมีในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเรื่อยๆ มา
ได้ยินได้ฟังคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย
หรือท่านผู้รู้ทั้งปวง เราจึงจะมีความรู้ตรงนี้ กว่าที่นำจิตกลับมาสู่ภายในนั้น
ก็ต้องใช้เวลายาวนานนับไม่ถ้วนทีเดียว
การบรรลุธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์
ไม่มีเว้นเลยแม้พระองค์เดียวตรัสรู้ธรรม คือ ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งนี้
วิธีเดียวกันหมด คือ ท่านทิ้งทุกอย่าง ปล่อยวางทุกสิ่ง ไม่ให้ใจไปเกาะ ไปเกี่ยว
ไปเหนี่ยว ไปรั้งเรื่องอะไรเลย ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆ ทั้งปวง
แล้วนำใจกลับเข้าไปสู่ภายใน หยุดนิ่งอยู่ภายในตัวของท่าน
ถูกส่วนก็ตกศูนย์เข้าไปสู่ภายใน ดวงธรรมก็ลอยบังเกิดขึ้นมา
แล้วท่านก็หยุดนิ่งอย่างเดียวเรื่อยๆ จนกระทั่งได้บรรลุธรรมเรื่อยไปตามลำดับ
เห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต
ธรรมในธรรมดังกล่าว ที่ซ้อนๆ กันอยู่ภายใน โดยเฉพาะกายที่สำคัญ คือ พระธรรมกาย ที่อยู่ภายใน
เป็นกายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานแล้ว กายนี้มีธรรมจักขุ เห็นได้รอบตัว มีญาณทัสนะ
เครื่องหยั่งรู้ ซึ่งเกิดความรู้ขึ้นมาเรียกว่า ปัญญา รวมกันเป็นหมวดหมู่
เป็นวิชชา แสงสว่างบังเกิดขึ้น จักขุ ญาณ วิชชา แสงสว่าง
รวมประชุมอยู่ในกลางองค์พระธรรมกาย
เมื่อท่านได้รู้ ได้เห็น
ท่านก็ได้บรรลุปุพเพนิวาสานุสติญาณ คือ ระลึกชาติหนหลังได้ คือ
เห็นเป็นเรื่องเป็นราวของชีวิตท่านในแต่ละภพชาติ ถอยหลังกันเรื่อยไปเลย
แล้วก็รู้เห็นการเกิดขึ้นและดับไปของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
จนกระทั่งเห็นกิเลสเข้ามาบังคับ รู้จักว่า โลภะ
โทสะ โมหะ มีลักษณะเป็นอย่างไร
และสามารถขจัดสิ่งนั้นจนกระทั่งหมดสิ้นไป
เหลือแต่กายธรรมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งหลาย มีบรมสุขบังเกิดขึ้น สุขที่ไม่มีประมาณ
ความบริสุทธิ์ที่บังเกิดขึ้น มาพร้อมกับการหลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ
เมื่อท่านตั้งพระศาสนา ประกาศธรรมของท่าน
โดยเฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้ ก็ได้ไปโปรดปัจจวัคคีย์ทั้ง ๕
ก็ได้บรรลุธรรมไปตามลำดับ เห็นไปตามลำดับ เช่นเดียวกับพระองค์
ฝึกใจควบคู่กับภารกิจ
พรรษานี้เราได้มาบวชแล้ว
ให้ลูกทุกรูปได้ใช้ทุกอนุวินาที ให้เป็นไปเพื่อการฝึกใจให้หยุดนิ่ง
อย่าให้ใจไปเกาะ ไปเกี่ยว ไปเหนี่ยว ไปรั้งในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น นี่เป็นกรณียกิจ
กิจของสงฆ์ควรกระทำ
แม้ว่า ลูกจะมีกิจวัตรกิจกรรม
มีภารกิจอะไรก็ตาม อย่าเว้นสิ่งนี้ ให้ทำควบคู่กันไปเหมือนลมหายใจเข้าออกอย่างนั้น
ไม่ว่าเราจะทำกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ เราก็ยังหายใจเข้า หายใจออก
ข้อวัตรปฏิบัติอะไรต่างๆ ก็เป็นสิ่งเกื้อกูลให้เรามีความบริสุทธิ์บริบูรณ์เป็นพระแท้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นให้ทำควบคู่กันไป
หมั่นตรึก
หมั่นนึก หมั่นคิด เอาใจมาหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ควบคู่กับภารกิจกิจวัตรกิจกรรมต่างๆ ในทุกๆ วัน ถ้าลูกทำได้อย่างนี้
ใจก็จะอยู่กับเนื้อกับตัว ใจก็จะไม่เคลื่อนไปที่ไหน ก็จะบรรลุธรรมได้
การบวชในคราวนี้เราก็จะสมปรารถนา
แม้ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าก็ตาม ก็ได้ชื่อว่า เป็นพระแท้ เป็นเนื้อนาบุญของโลก
เป็นที่เคารพสักการบูชาของมนุษย์ของเทวดาทั้งหลาย เราก็ได้บุญมาก
โยมพ่อโยมแม่ก็ได้บุญมาก ญาติโยม สรรพสัตว์ทั้งหลายก็ได้บุญเยอะ
ญาติโยมที่สนับสนุนเราก็จะมีส่วนแห่งบุญตรงนี้ได้มาก
เพราะฉะนั้น
ให้ใช้ทุกอนุวินาทีเป็นไปเพื่อการนี้นะลูกนะ การบวชในคราวนี้
โดยเฉพาะพรรษานี้ก็จะได้เป็นพรรษาที่มีคุณค่าสมกับเป็นชีวิตของนักบวช
แล้วก็จะเป็นต้นบุญต้นแบบให้กับผู้ที่จะมาบวชในภายหลัง
นึกเมื่อไร เราก็ปลื้ม
นึกถึงวันเวลาที่ผ่านมาในเพศสมณะ เราก็ปลื้ม แม้จะลาสิกขาออกไปก็ตาม
เมื่อมีความจำเป็นจะต้องไปอยู่ทางโลก นึกเมื่อไรเราก็ปลื้มว่า
ช่วงที่เราได้ให้โอกาสตัวเองมาบวช เราได้เป็นพระแท้ ได้ฝึกตน ทนหิว บำเพ็ญตบะ
เป็นพระแท้
ความปลื้มเมื่อเกิดขึ้น
จะยังใจเราให้บริสุทธิ์สูงส่ง มีความภาคภูมิใจ เล่าสู่กันฟัง ใครได้ยินได้ฟัง
เขาก็จะปลื้มตาม แล้วก็อยากบวชอย่างเรา หากตัวเองบวชไม่ได้
ก็อยากจะไปชวนสมาชิกในครอบครัว หมู่ญาติ หรือผู้มีบุญต่างๆ มาบวช
ถ้าเริ่มต้นที่เราได้ดีอย่างนี้ กระแสแห่งความบริสุทธิ์
ความดี ก็จะขยายออกไป พระศาสนาก็จะตั้งมั่น แล้วก็แผ่ขยายต่อๆ ไปอีก
ผลสะท้อนที่จะกลับคืนมา คือ บารมีของเรา บุญพิเศษของเราที่เราได้ฝึกตน ทนหิว
บำเพ็ญตบะ เป็นพระแท้ เราปลื้มก่อน แล้วเล่าสู่กันฟัง ให้ใครฟังเขาปลื้มตาม
พระศาสนาตั้งมั่น โดยเราเป็นหนึ่งในนั้นที่ช่วยกันรักษาพระศาสนา สืบทอดพระศาสนา
เป็นอายุพระศาสนา ช่วยประกาศพระศาสนา เป็นต้นบุญต้นแบบของพระศาสนา
บุญพิเศษนี้ก็จะเกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าเราจำเป็นจะต้องลาสิกขาไปก็ตาม
ชิ่ว ปัดกิเลสทิ้งไป
วันนี้เป็นวันแรกของพรรษานี้
ให้ลูกทุกรูปตั้งอกตั้งใจให้ดี หมั่นสังเกต
ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา ให้จิตเราบริสุทธิ์ผ่องแผ้วอยู่เสมอ
ถ้าเรามีสติ เวลากิเลสที่พญามารสอดเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นกิเลสตระกูลไหนก็ตาม เราก็ปัดมันทิ้งไปเลย
ก่อนที่มันจะปรุงแต่งให้เราไปคิด เราปัดทิ้งไป
เช่น สมมติว่า สอดความโลภเข้ามา
มีความทะยานอยากแบบทางโลก พอเข้ามาจะปรุงจิต เราก็ปัดทิ้งไปเลย
หรือโทสะความขัดเคืองขุ่นใจว่า ถ้าเกิดขึ้นก็ให้รู้ทัน แล้วปัดทิ้งไปเลย
โมหะก็เช่นเดียวกัน มีความคิดที่จะไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด พอมันสอดเข้ามา
เราต้องปัดทิ้งไป อย่าให้มันปรุงจิตปรุงใจของเราให้เป็นอย่างนั้น
หมั่นสังเกตอย่างนี้ได้ มันก็ค่อยๆ ละไปทีละตัว
สองตัว ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ช้าก็บรรเทาเบาบางลงไปเรื่อย ใจเราก็จะใส ใจจะสะอาด
ใจจะบริสุทธิ์ ถ้าทางลัดที่สุด คือ เอาใจหยุดอยู่ที่กลางกาย ให้เห็นดวงใสๆ
เห็นองค์พระใสๆ กิเลสก็จะไม่ได้ช่องที่จะสอดเข้ามา ใจเราก็จะบริสุทธิ์ยิ่งๆ ขึ้นไป
แล้วยิ่งโดยเฉพาะผู้ที่มีมโนปณิธานมุ่งมั่นที่จะศึกษาวิชชาธรรมกาย
พรรษานี้เป็นพรรษาที่เหมาะอย่างมาก ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว
เรายังมีเรี่ยวมีแรง
มีความแข็งแรง ฝึกจิตฝึกใจไว้ที่กลางกายให้ได้ตลอดเวลา ให้เข้าถึงดวงใสๆ ให้ได้
ถึงองค์พระภายในให้ได้ หมั่นฝึกซ้ำๆ
อย่าเบื่อหน่าย ฝึกอย่างมีฉันทะ ฝึกไปเรื่อยๆ รักที่จะฝึก ฝึกไปทุกวัน ควบคู่กับภารกิจ
กิจวัตรกิจกรรมประจำวัน สักวันเราก็จะสมความปรารถนา
ให้ตั้งอกตั้งใจกันให้ดีนะลูกนะ พรรษานี้หลวงพ่อขอให้ลูกทุกๆ
รูป จงมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง ให้ปลอดจากสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อการกุศลและการประพฤติพรหมจรรย์
ให้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย มีรู้มีญาณแม่นยำ
ถูกต้องร่องรอยตรงไปตามความเป็นจริงทุกประการเทอญ
วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2564