บั้งไฟพญานาค
ในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
โดยคุณครูไม่ใหญ่
เรียบเรียงจากเนื้อหาปี
พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๔๗
-----------------------------------------
เรื่องราวอันน่าอัศจรรย์นี้เกิดขึ้นในวันมหาปวารณา
ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ของทุกปี หรือตรงกับวันออกพรรษาของประเทศลาว
ซึ่งวันออกพรรษาของไทยจะก่อนของทางฝั่งลาว ๑ วัน แต่บางปีก็จะมาพ้องตรงกัน
ในวันนี้มีข่าวอึกทึกครึกโครมที่น่าตื่นเต้นสำหรับชาวพุทธกระจายไปทั่วโลก
คลื่นมหาชนจำนวนมากหลั่งไหลไปที่ริมฝั่งน้ำโขง ฝั่งประเทศไทย ก็ที่อำเภอโพนพิสัย
จังหวัดหนองคาย ฝั่งประเทศลาวตรงบริเวณบ้านโดน ปากน้ำงึม แขวงกำแพงนครเวียงจันทร์
เดิมมีการจับจองที่พักเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม วัด
หรือแม้กระทั่งโรงพยาบาลก็ไม่ได้เต็มไปด้วยคนไข้ แต่เต็มไปด้วยคนที่ไปพักเพื่อรอดูดวงไฟที่ลอยขึ้นมาจากกลางลำน้ำโขง
บั้งไฟพญานาคที่ฝั่งแม่น้ำโขง
ประเทศลาว จะเกิดขึ้นเยอะกว่าของฝั่งประเทศไทย
เพราะว่าพญานาคนั้นเกิดขึ้นอยู่ในผืนแผ่นดินตรงนั้นมานานกว่า ๒,๐๐๐ ปี ตอนนี้ก็ยังอยู่
ดวงไฟที่ลอยขึ้นไปสวยงามมาก
หากมองจากริมฝั่ง โขงจะเห็นเป็นดวงไฟเล็กๆ แต่รวมรัศมีของแสงก็ขนาดลูกบาสเกตบอล
บ้างก็เห็นลอยขึ้นไปสูงกว่าพื้นน้ำไม่กี่สิบเมตร บ้างก็ว่าบางลูกสูงถึง ๑๐๐ เมตร
ก็มี บ้างก็บอกว่า สูงถึงต้นตาล บ้างก็ว่า เลยไปกว่านั้น บ้างก็เห็นแค่ไม่กี่ลูก
บ้างก็บอกว่า จำนวนเยอะ บ้างก็บอกว่า บางปีรวมกันเป็นพันลูก
บางปีก็มีวันเดียว
บางปีก็มี ๒ วัน คือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ กับวันแรม ๑ ค่ำ
บางปีก็ขึ้นที่เดียวที่อำเภอโพนพิสัย บางปีก็มีหลายที่ แต่เดี๋ยวนี้มีเพิ่มขึ้นตามห้วยหนองคลองบึงต่างๆ
เริ่มจะมีเพิ่มมากขึ้น แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีเหตุ
ผู้เฒ่าผู้แก่ของพี่น้องชาวไทยลาวทั้ง
๒ ฝั่ง เล่าสืบต่อกันมาว่า เป็นบั้งไฟพญานาค ที่ท่านบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยจิตที่เลื่อมใส
แต่พอตกมาถึงยุคนี้เข้า ก็มีผู้ที่อยากจะรู้ว่า ดวงไฟที่เกิดขึ้นนี้จริงๆ
แล้วมันคืออะไรกันแน่
บ้างก็บอกว่า
มนุษย์สร้างขึ้น บ้างก็บอกว่า ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์
เพราะว่าทำยากเนื่องจากน้ำตรงนั้นลึกมากถึงร้อยเมตร บ้างบอกว่า เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่เกิดขึ้นอย่างไรไม่ทราบ ก็กลับไปพิสูจน์กันด้วยหลายๆ วิธี แล้ววิธีล่าสุดก็คือ เอาเครื่องมือไฮเทคทางวิทยาศาสตร์ไปจับกัน
ก็สรุปกันไปต่างๆ นานา บ้างก็บอกว่าเป็นแก๊สธรรมชาติ แต่ก็ตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องเกิดในวันนั้น
ตรงกันทุกปี แต่บางท่านก็บอกว่า
ที่เกิดมาวันนั้นเพราะมันประจวบเหมาะครบวงโคจรระหว่างดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และโลก ก็เลยประจวบเหมาะกันเกิดขึ้น
ก็มีนานาทรรศนะ แต่ข้อสรุปสุดท้ายบอกว่า เกิดจากธรรมชาติ
ในฐานะที่เราเป็นโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา
เราก็น่าจะมีทรรศนะของเราบ้าง ถ้าหากว่า บังเอิญไม่ไปตรงอะไรกับใคร
หรือบางทีอาจพ้องบ้างก็ต้องถือว่าให้ฟังเป็นนิทานฟังเพลินๆ อย่าถือเป็นจริงเป็นจัง
เหมือนกับเขาว่าอย่างนั้น เขาว่าอย่างโน้น โรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาก็ว่าอีกทรรศนะหนึ่ง
ถ้าหากพอจะรับฟังกันได้บ้างก็รู้ไว้ใช่ว่าติดขาติดแข้งกันไป ไม่ต้องถึงกับใส่บ่าแบกหาม
ปมเริ่ม..บั้งไฟพญานาค
เรื่องก็มีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
เมื่อหลายพันปีก่อนสมัยพุทธกาล บนผืนแผ่นดินอันสะอาดบริสุทธิ์ของประเทศลาวในปัจจุบัน
ชาวเมืองเป็นผู้มีศีลมีธรรม มีจิตใจที่งดงาม เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่
ผู้เฒ่าผู้แก่ ดูแลมารดาบิดากันเป็นปกติ
พระราชาผู้ปกครองบ้านเมืองทรงมีธรรมราชา
ปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรม คือข้อปฏิบัติสำหรับผู้ปกครองครบถ้วน ๑๐ ประการ แล้วก็มีปุโรหิตท่านหนึ่ง
เป็นคนจิตใจงาม เป็นผู้มีปัญญามาก เวลาจะตัดสินคดีความก็บริสุทธิ์ยุติธรรม ท่านชำนาญในไตรเพท
มีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงพญานาค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
เพราะมีความเชื่อว่า นาคเป็นผู้ให้น้ำ ท่านก็ประกอบพิธีอย่างนี้ทุกปี
จนกระทั่งหมดอายุขัย
ด้วยใจที่ผูกพันกับพญานาคมาก กอปรกับบุญกุศลที่ท่านทำในระดับที่ดีของชาวโลกในยุคที่พระพุทธศาสนายังไม่บังเกิดขึ้น
เป็นยุคแห่งความเจริญของไตรเพท เพราะฉะนั้นเมื่อละโลกแล้ว
ท่านปุโรหิตนี้จึงไปเกิดเป็นพญานาค มีกายสีทอง สวยงาม
เป็นหัวหน้าปกครองชุมชนนาคในระดับล่าง อยู่ใต้ลำน้ำโขง ซึ่งจะเป็นภพซ้อนภพ
มีอายุยืนมาก
นาคมีอยู่
๓ ระดับ ระดับล่าง ระดับกลาง ระดับสูง
ระดับสูง ก็อยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา
ระดับกลางๆ ก็ลดหย่อนลงมา
ระดับล่าง ก็อยู่ในระดับพื้นมนุษย์
มีบ้านเมืองที่สวยสดงดงามพอสมควร ท่านก็เป็นผู้ปกครองชุมชนนาคในละแวกนั้นซึ่งกว้างขวางมาก
พญานาคท่านนี้
เมื่ออยู่ในเมืองนาค ท่านจะแปลงกายเป็นกายทิพย์ที่คล้ายๆ มนุษย์
มีเครื่องประดับงดงาม ท่านปรารถนาพุทธภูมิมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนก่อนเป็นปุโรหิต
แม้มาเป็นปุโรหิตแล้วก็ตาม ก็ยังมีความรู้สึกเช่นนี้อยู่ในใจลึกๆ
พอจะออกพรรษา
เหล่าเทวดาก็โจษกันว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จลงจากดาวดึงส์แล้ว เพราะเทวดาเข้าไปฟังธรรมที่ดาวดึงส์
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกากับชั้นดาวดึงส์ สามารถไปถึงกันได้
เสียงอื้ออึงโจษขานดังไปทั่ว พร้อมๆ กับเสียงดนตรีสวรรค์ ดังไปถึงนาคพิภพ
ทำให้อาสนะของพญานาคที่เคยอ่อนนิ่มแข็งกระด้างขึ้นมา
พญานาคและบริวารทนไม่ไหว
อยู่ไม่ได้ ออกมาจากนาคพิภพเลย มาแล้วก็ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำของแม่น้ำโขง
ในวันเทโวโรหณะ ช่วงออกพรรษา สายตาก็มองไปบนท้องฟ้า ตอนนั้นเมฆบนท้องฟ้าก็ยังฟูฟ่องล่องลอยอยู่เยอะแยะ
แต่สักพักหนึ่งเมฆก็แวบหายไป ท้องฟ้าเริ่มเปิดออก มีลำแสงฉัพพรรณรังสีพุ่งออกมา ท้องฟ้ากลวงเข้าไปเลย
เหมือนไม่มีท้องฟ้าบริเวณนั้น คือท้องฟ้าเปิดจนมองเห็นสวรรค์ มองเลยไปถึงดาวดึงส์
ในลำแสงนั้นก็จะเห็นเหล่าทวยเทพทั้งหลายในภพ
๓ เต็มไปหมดเลย ยกเว้นอรูปพรหม ๔ ชั้น อสัญญีสัตตาพรหม พรหมรูปฟัก จะไม่ได้มา
นอกนั้นมาหมดเลย ท้าวมหาราชทั้ง ๔ คอยอารักขา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ ครุฑ
โดยเฉพาะคนธรรพ์จะร้องรำทำเพลงประโคมดนตรีตลอดเวลา พลุสวรรค์หลากสี
พลุสวรรค์ไม่ได้ดังตุ้มๆ เหมือนในเมืองมนุษย์แต่ดังเป็นเสียงดนตรีสวรรค์แล้วก็เข้ากับเพลงดนตรีสวรรค์
ดอกไม้ทิพย์สวยสดงดงาม หอมฟุ้งตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
สองข้างทางเต็มไปด้วยทวยเทพทุกชั้น
ผู้ปกครองแต่ละภพทั้ง ๖ ชั้น เทพอัปสรเรียงกันลงมาเป็นกระบวน
ถัดจากนางเทพอัปสรก็จะมีเหล่าเทวดายืนเรียงรายกันเต็มไปหมดเลย มีบันไดทองคำใส
บันไดแก้วเพชร บันไดเงิน ทอดลงมาจากดาวดึงส์ถึงพื้นโลกมนุษย์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอยู่ตรงกลางบันไดแก้วเพชรที่มีหลากสีสเปกตรัม ได้แก่ ม่วง
คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง แล้วตามด้วยปัญจสิขเทวบุตร
ผู้มีความคุ้นเคยกับพระองค์ตั้งแต่สมัยก่อนตรัสรู้
เดินกรุยกรายดีดพิณรูปดอกบัวประดับด้วยเพชรหลากสี
ตามมาด้วยมาตลีสารถีคนโปรดของพระอินทร์ถือพานดอกไม้
บันไดทองคำใสก็เป็นของเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่
ท้าวสุยามา ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นยามาถือพัดวีชนี ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์
ถือปาริฉัตตกะ ถัดมาเป็นท้าวสันดุสิต ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวนิมมานรดี
ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นนิมมานรดี แล้วก็ท้าวปรนิมมิตวสวัตดี ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดี
และตามด้วยเหล่าเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลาย
บันไดเงินก็เป็นมหาพรหม ซึ่งล้วนแต่งชุดขาว มหาพรหมในที่นี้ หมายถึง พรหมผู้มีศักดิ์ใหญ่
มีอานุภาพมากทั้ง ๑๖ ชั้น ผู้มีศักดิ์ใหญ่มากที่สุดก็อยู่ข้างหน้า เสด็จมาทางบันไดที่ดูคล้ายๆ
เงินยวง ไม่ใช่เงินดำๆ แบบเมืองมนุษย์ แล้วก็เนรมิตฉัตรสีขาว ๙
ชั้นลอยอยู่เบื้องบน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสี
สว่างไสว เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่กว่าเทวดาและพรหม
ในระดับที่มนุษย์อยู่ไกลก็เห็นใกล้ แต่อยู่ใกล้ๆ จะเห็นพอดี คำว่า พอดี คือ จะใกล้หรือไกลก็เห็นเท่ากันด้วยพุทธานุภาพ
และน่าอัศจรรย์ที่สรรพสัตว์ทั้งหลายต่างก็มองเห็นซึ่งกันและกัน
ถ้ามองเฉียงลงไปจากโลกมนุษย์
ก็จะเห็นมหานรก อุสสทนรก ยมโลก ทั้งหมด ๔๕๖ ขุม เห็นภพอสูร ภพของเปรต อสูรกาย
มองเฉียงขึ้นไปก็จะเห็นสวรรค์ทุกชั้น แล้วจิตใจของทุกคนที่เห็นกันในวันนั้น
ล้วนแต่เป็นกุศลจิตทั้งนั้น จึงเชื่อว่า ภพภูมิมีจริง บุญบาปมีจริง
กฎแห่งกรรมมีจริง เพราะเห็นกันชัดเจนอย่างนั้น
และในช่วงนั้นเอง
ท่านพญานาค อดีตปุโรหิต ก็เป็นท่านหนึ่งที่ได้เห็นพุทธานุภาพ
พญานาคเห็นแล้วก็เกิดความปลื้มปีติใจมาก ได้เปล่งวาจา ตั้งความปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซ้ำหนักเข้าไปอีกว่า
“ขอให้ข้าพเจ้าได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
เพื่อจะได้มีพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณแบบนั้น”
แม้ใครที่อยู่บริเวณนั้น
ที่ได้เห็นพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ
ก็ล้วนแต่ตั้งความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสิ้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
พญานาคท่านนี้ก็ตั้งจิตเลยว่า เมื่อถึงฤดูกาลเข้าพรรษาของทุกปี จะออกมาจากนาคพิภพ
ตั้งใจประพฤติธรรมรักษาศีลใต้ลำน้ำโขง
เพราะว่าขืนอยู่ในเมืองนาคซึ่งเกลื่อนกล่นไปด้วยนางนาคมาณวิกาจำนวนมากล้วนสวยสดงดงามทั้งนั้น
การจะประพฤติพรหมจรรย์นั้นยาก ก็เลยมาจำศีลอยู่บนพื้นโลกมนุษย์ใต้ลำน้ำโขง ซึ่งท่านปรารถนาจะให้ใครเห็นหรือไม่เห็นก็ได้ด้วยอานุภาพของท่าน
ปกติแล้วผู้ปกครองพญานาค
ย่อมได้รับการบำรุงบำเรอ เอาอกเอาใจอย่างดีจากนางนาค การที่ตัดใจออกมาถือศีลได้
ต้องถือว่าแรงดึงดูดจากความเลื่อมใสพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เห็นในวันนั้นมีอานุภาพมาก
เมื่อระลึกนึกถึงวันนั้นใจจึงหลุดจากนิวรณ์ หลุดจากกามฉันทะชั่วคราว แม้นางนาคมาณวิกาจะงดงามแค่ไหน
จะบำรุงบำเรออย่างไรท่านก็เฉย เปลี่ยนอารมณ์จากเรื่องเพศ มานึกถึงพระ
นึกถึงพระพุทธเจ้าบรมศาสดาที่ท่านเสด็จลงมาวันนั้น
พอหวนระลึกนึกถึงวันนั้นทีไรปลื้มปีติใจมาก
เพราะไม่เคยเห็นใครมีอานุภาพมากมายขนาดนั้น ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์
และเป็นการเห็นที่อัศจรรย์คือเห็นทั่วถึงกันหมด ทั้งมนุษย์เทวดาและภูมิของอบาย มองไกลก็เหมือนใกล้
เหมือนเปิดท้องฟ้าออกไป แล้วมีจอท้องฟ้าเป็นจอยักษ์เกิดขึ้น
มองทะลุเห็นสวรรค์ชั้นต่างๆ เรียงรายกันมาถึงโลกมนุษย์ มองทะลุลงไปเห็นภูมิของอบาย
ถึงมหานรกขุมต่างๆ
แล้วพอมองไปทางไหนก็จะเห็นภาพดูดเข้ามาในระยะใกล้ที่สบายตาและชัดเจน
เหมือนตาเราติดกล้องส่องทางไกลที่ปรับเลนส์อย่างดี ไกลแค่ไหนก็เหมือนใกล้ด้วยพุทธานุภาพอันเป็นอจินไตยที่เกิดจากการสั่งสมบุญบารมีของพระองค์มายาวนาน
การเปิดโลกให้เห็นทั่วถึงพร้อมกันหมดทั้งนรกสวรรค์และอบายเป็นพุทธานุภาพ
เมื่อพระองค์หมดกิเลสบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว การทำให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นมา จะมีอยู่เพียงครั้งเดียวในชีวิตของการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์
แล้ววันนั้น
ไม่ใช่มนุษย์ทั่วโลกเห็นปาฏิหาริย์นั้นกันหมด เห็นเฉพาะผู้มีบุญที่สังกัสสนคร ซึ่งอยู่ในเมืองสาวัตถีในรัศมีแค่
๓๖ โยชน์เท่านั้น แล้วมนุษย์ที่เห็นวันนั้นก็มีหลายประเภท คือ ผู้ที่เลื่อมใสก็มี
เฉยๆ ก็มี ไม่เลื่อมใสก็มี ที่เลื่อมใสมากก็เห็นมาก ที่เฉยๆ ก็เห็นหย่อนลงมา
ที่ไม่เลื่อมใสก็เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง แต่พวกที่มีกายละเอียด
เขามีตาทิพย์มองเห็นได้ เพราะฉะนั้นมนุษย์เห็นเฉพาะจุดตรงนั้น และ ณ ที่ตรงนั้นเอง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใดบังเกิดขึ้นก็จะเสด็จลงมาที่สังกัสสนครนี่แหละ
เพราะเป็นเมืองที่เป็นเนิน สามารถเห็นได้รอบทิศ
มีจารึกของภิกษุฟาเหียน
ตอนท่านไปค้นหาพระคัมภีร์สืบคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อินเดีย
ในนั้นกล่าวไว้ว่า ได้พบตำแหน่งที่บันไดทอดมาถึงโลกมนุษย์ ณ
ตำแหน่งนั้นพระเจ้าอโศกได้ทรงสั่งให้ทำหลักเอาไว้และสร้างสถูปครอบเอาไว้ด้วย แต่ในคัมภีร์ได้กล่าวไว้ว่า
บันไดทอดมาถึงพื้นมนุษย์ เสียบลงไปในพื้นดินอีกเพราะเป็นบันไดทิพย์
เพราะฉะนั้นมนุษย์ก็เห็น เทวดาก็เห็น แล้วพญานาคและเหล่าบริวารก็เห็นจึงเกิดกุศลศรัทธามาก
เมื่อถึงวันเข้าพรรษา
พญานาคก็จะออกมาจากนาคพิภพ มาจำศีลภาวนาใต้ลำน้ำโขง ระหว่างในพรรษา
ใจของพญานาคระลึกถึงแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นึกถึงวันนั้นไม่มีวันลืมเลือนจากใจเลย
เวลา
๑ พรรษา ถ้าเทียบเวลากับภพของนาคนั้นนิดเดียว แต่ของโลกมนุษย์เท่ากับ ๓ เดือน แต่ก็ถือเอาพรรษา
๓ เดือนในเมืองมนุษย์นี่แหละ พอเข้าพรรษาท่านก็มาทันทีเลย ตอนแรกก็ตามลำพังตนเดียว
ต่อมาลูกน้องบริวารเกิดกุศลศรัทธาจึงตามมาด้วย
พอวันออกพรรษา
ด้วยจิตที่เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จึงบูชาพระพุทธเจ้าด้วยดวงประทีปที่กลั่นจากใจอันเลื่อมใสและตั้งจิตอธิษฐานว่า ข้าพระพุทธองค์ขอบูชาพระพุทธองค์
ด้วยประทีปที่กลั่นจากใจที่ใสๆ จากการจำศีลประพฤติพรหมจรรย์ ๑ พรรษา
ด้วยอานิสงส์นี้ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต
การพ่นดวงไฟของพญานาค
การพ่นไฟของนาคมีหลายลักษณะ
ถ้าพ่นเพราะความโกรธจะพ่นอย่างร้อนแรง โดนที่ไหนก็พังที่นั่น
แต่ก็ไม่ใช่จะพ่นแบบนี้ได้ทุกตัว และปริมาณไฟที่พ่นก็ยังไม่เท่ากัน
แล้วแต่ฤทธิ์ของใคร ใครมีบุญมากมีฤทธิ์มากก็พ่นได้มาก
เหมือนมนุษย์มีฤทธิ์ไม่เท่ากัน มีบุญมากก็เป็นนายก ลดลงมาก็รองนายก
ไล่เรื่อยกันลงมา
อีกแบบหนึ่งที่เราได้ยินบ่อยๆ
ในพระไตรปิฏกว่า “บังหวนควัน” คือ จะพ่นควันที่มีไอร้อนออกมา แต่การพ่นไฟเพื่อเป็นประทีปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะเป็นอีกแบบ
การที่พญานาคจะพ่นดวงไฟถวายเป็นพุทธบูชาได้
ต้องประพฤติพรหมจรรย์ ไม่เสพเมถุน ๑ พรรษา
แล้วจะมีฤทธิ์ที่จะพ่นออกมาเป็นดวงไฟอย่างนั้นได้
เมื่อถึงวันนั้น
ท่านจะนึกถึงบุญที่เกิดจากการจำศีลตลอด ๑ พรรษานี้
แล้วก็ระลึกนึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเทโวโรหณะที่เสด็จลงมาจากดาวดึงส์
ด้วยใจที่ปลื้มปีติ แล้วพ่นออกมาเป็นดวงไฟอย่างนั้น
ซึ่งจะแตกต่างจากนาคที่พ่นด้วยความโกรธ แล้วก็พ่นลอยขึ้นไปในอากาศ
เมื่อเป็นฟองอยู่ใต้น้ำก็เป็นดวงกลมๆ แล้วก็ลอยขึ้นมา
เนื่องจากดวงไฟนั้นเป็นสภาพกึ่งหยาบกึ่งละเอียด เมื่อโผล่ขึ้นจากน้ำ
ผิวน้ำจึงยังนิ่งเรียบปกติไม่กระเพื่อม เหมือนผ่านอากาศมา
แล้วลอยขึ้นไปสว่างวาบบนท้องฟ้า
แต่เดิมท่านพญานาคทำเพียงลำพังตนเดียว
ต่อมานาคบริวารเกิดกุศลศรัทธาก็มารักษาศีลด้วย จึงบอกต่อๆ กันไปในหมู่ญาติของนาค ชุมชนของนาคเกิดกุศลศรัทธาก็เอาอย่างบ้าง
เพราะฉะนั้นจึงเกิดแสงสว่างขึ้นบนท้องฟ้า ช่วงสั้นบ้าง ยาวบ้าง ดวงโตบ้าง
ดวงเล็กบ้าง แล้วแต่อานุภาพของนาคแต่ละตน ตนใดกำลังบารมีอ่อน
ก็พ่นได้จำนวนไม่กี่ดวง แล้วสูงไม่มาก แต่ของพญานาคเองจะพ่นสูงทีเดียว
เพราะฉะนั้น
บั้งไฟพญานาคจึงเกิดขึ้นในวันเข้าพรรษาทุกปี และเริ่มมีมากขึ้นตามห้วยหนองคลองบึงต่างๆ
จนเกิดนานาทรรศนะเกิดขึ้น แล้วก็พยายามที่จะพิสูจน์กันตามหลักวิชาที่ได้เรียนรู้มา
แต่ก็สรุปได้ว่า “ไม่มีข้อสรุป”
เพราะฉะนั้นบั้งไฟพญานาคจึงเกิดขึ้น
ลอยขึ้นไป สิ่งนี้เป็นอจินไตยที่เหนือกว่าความนึกคิดมนุษย์ ที่ใช้ดวงปัญญาในระดับจินตามยปัญญาซึ่งมันมีขอบเขตจำกัด
ยังอยู่ในวงจำกัดของความคิด ที่คิดแล้วไปไม่ถึง แต่จะไปถึงตรงนั้นได้ก็โดยวิธีที่ไม่ต้องคิด
เขาเรียกว่า ภาวนามยปัญญา ดังนั้นนี่คือสิ่งที่เป็นอจินไตยที่เกิดขึ้นจริง
ด้วยจิตที่เลื่อมใสของพญานาค
พญานาคท่านก็รู้จิตใจของมนุษย์ทุกคน
ในทุกยุคที่ผ่านมา สองพันห้าร้อยกว่าปี มนุษย์คิดกันอย่างไร ยุคต้นๆ
มนุษย์ก็เชื่อมั่นเลื่อมใสพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่มนุษย์ในยุคนี้เชื่อบ้างก็มี
เชื่อมากก็มี เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างก็มี หรือไม่เชื่อเลยก็ยังมี แต่พญานาคท่านไม่ได้สนใจ
เพราะเอาใจไปสนอยู่กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
ปลื้มปีติ ไม่สนใจเสียงระเบิดเถิดเทิงหรือเสียงการละเล่นต่างๆ
ของมนุษย์ทั้งสองฝั่งริมน้ำโขง
ท่านไม่ได้สนใจเลยว่า
ใครจะคิดอะไรอย่างไร หรือจะเมามายหรือตำหนิติเตียนลบหลู่ ท่านก็เฉยๆ ไม่สนใจ ใจปลื้มอยู่ในบุญ
เพราะท่านรู้ว่ามนุษย์ไม่ได้เห็นในวันนั้น จะให้มาปลื้มอย่างท่านคงยาก
เพราะฉะนั้นเมื่อถึงวันมหาปวารณาของไทยหรือวันออกพรรษาของลาว
เราจะเห็นดวงไฟลอยขึ้นมาจากลำน้ำโขงเป็นประจำทุกปี
ซึ่งมีแค่ปีละครั้งและมีที่นี่ที่เดียวในโลก
คำถามเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค
คราวนี้มาถึงคำถามเกี่ยวกับบั้งไฟพญานาค
ในประเด็นต่างๆ ที่น่าสนใจหลายข้อด้วยกัน ในทรรศนะของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา มีคำตอบดังต่อไปนี้
สำหรับคำถามที่ว่า
ทำไมการพ่นบั้งไฟพญานาคต้องพ่นตอนกลางคืน ทั้งๆ
ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์ในตอนสายของวันมหาปวารณา หรือขึ้น ๑๕ ค่ำ
เดือน ๑๑ ที่เป็นเช่นนี้เพราะ
ประการที่ ๑. พญานาคนั้นจะยึดวันเวลาตามจันทรคติ จึงใช้ดวงจันทร์เป็นเครื่องกำหนดรู้
๒. ดวงจันทร์วันเพ็ญนั้น มีอิทธิพลต่อจิตใจของพญานาคมาก
เมื่อพญานาคได้เห็นดวงจันทร์เต็มดวง ก็จะทำให้มีกำลังปีติมาก และมากพอที่จะพ่นบั้งไฟพญานาคออกมา
ประการที่ ๓.
ในคืนเดือนเพ็ญเป็นคืนที่มนุษย์และเทวดาจะรับกระแสจากนิพพานได้เต็มที่
สำหรับคำถามที่ว่า
ทำไมบางปีมีบั้งไฟเกิดขึ้นน้อย บางปีเกิดขึ้นมาก ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าขึ้นอยู่กับปริมาณในการขึ้นมาจำศีลของพญานาค
และระหว่างจำศีลนั้นรักษาศีลได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่
หรือเกิดมหาปีติในการระลึกนึกถึงศีลหรือไม่
หรือเกิดปีติในการระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าหรือไม่
เพราะว่าพญานาคที่มาบังเกิดในภายหลังก็มี และได้ยินเรื่องราวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากพญานาคผู้เฒ่าเล่าสู่กันฟัง
จึงเกิดกุศลศรัทธามาอยู่จำศีลในช่วงพรรษา จำศีลครบพรรษาก็มี ไม่ครบก็มี
หรือจำครบแต่ไม่ครบคุณสมบัติก็มี เป็นต้น
ซึ่งก็จะมีผลต่อการเกิดขึ้นของบั้งไฟพญานาคว่าจะมากหรือน้อย
และบางปีก็ไปจำพรรษาตามโพรงหิน โพรงถ้ำ โพรงน้ำ กระจัดกระจายกันไป
บางแห่งเป็นสระน้ำใหญ่ ทั้งที่ไม่ใช่แม่น้ำโขง แต่ก็มีบั้งไฟ
เพราะใต้สระน้ำนั้นมีพญานาคไปจำศีลอยู่
ส่วนคำถามที่ว่า
ทำไมบางพื้นที่เคยมีบั้งไฟ แต่ภายหลังไม่เคยมีอีกเลย หรือบางพื้นที่ ไม่เคยมี
แต่ภายหลังกลับเห็นบั้งไฟขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า
บางพื้นที่ในแม่น้ำโขง
เมื่อก่อนเคยมีบั้งไฟบังเกิดขึ้นตอนออกพรรษามาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่ภายหลังหายไป
ที่เป็นเช่นนี้เพราะพญานาคได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นสูงขึ้นตามกำลังบุญ หรือบางแห่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมี
แต่ตอนหลังก็มามี เพราะได้มีพญานาคมาเกิดใหม่ในบริเวณนั้นและมีจิตเลื่อมใสเกิดกุศลศรัทธา
ก็เกิดขยายการพ่นบั้งไฟไปตามที่ต่างๆ เกิดกันหลายๆ แห่งอย่างนี้ เพราะพญานาคจะมีเป็นกลุ่มๆ
ใต้บาดาล คือใต้แผ่นดินท้องน้ำลงไปอีก เป็นภพซ้อนภพ
คราวนี้มาถึงในส่วนที่สำคัญที่ว่า แล้วเราควรทำอะไรกันบ้าง ในวันที่เรามาดูบั้งไฟพญานาค
มนุษย์ที่มาคอยดูทั้งสองฝั่งโขง ก็มีผลต่อการพ่นบั้งไฟของพญานาค ถ้ามนุษย์พากันดื่มเหล้าเมามาย ส่งเสียงดังเอะอะ ก็จะเป็นการรบกวนพญานาค และไม่เคารพต่อพระรัตนตรัย บาปก็จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ผู้เมามายผู้ไม่รู้เป็นอย่างยิ่ง เพราะพญานาคเขาจำศีลตลอดพรรษา เลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังจะถวายบั้งไฟเป็นพุทธบูชา กำลังกลั่นใจใสๆ ออกมาเป็นดวงไฟสวยๆ ผ่านท้องน้ำและท้องฟ้าเป็นพุทธบูชา แต่มนุษย์ไม่รู้อะไรเลย ดื่มจนเมามายแล้วก็ส่งเสียงร้องรำทำเพลงรบกวนนาคเขา หรือทำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ บาปนี้จะเกิดขึ้นกับมนุษย์ผู้ไม่รู้เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้พญานาคพ่นบั้งไฟมาได้น้อย พ่นไม่ตรงตามเวลาบ้าง หรือพ่นบ้างไม่พ่นบ้าง เพราะการจะพ่นบั้งไฟออกมาได้นั้น ต้องอาศัยกำลังแห่งมหาปีติเกิดขึ้นจึงจะออกมาได้
แต่ถ้ามนุษย์ไปรวมชุมนุมกันด้วยความสงบ ด้วยใจที่เลื่อมใสต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพร้อมใจกันสวดสรรเสริญพุทธคุณ พญานาคก็จะเกิดจิตปีติยินดี สมาธิก็จะตั้งมั่น แล้วเดี๋ยวเหตุอัศจรรย์จะบังเกิดขึ้นในวันนั้น การที่เราได้เห็นบั้งไฟแค่ดวงเดียวก็ถือได้ว่าเป็นบุญตาบุญตัวของเราแล้ว เพราะคนอีกหลายพันล้านคนไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านี้ ผู้ที่ไปเห็นคงจะสังเกตออกว่า มีความสวยและแตกต่างจากพลุที่มนุษย์จุดขึ้น เพราะมันเบา นุ่มนวล แต่มีพลังอยู่ในตัว และสวยสดงดงามเกินที่จะพรรณนาออกมาได้ทีเดียว ยิ่งเห็นหลายๆ ดวง ก็ยิ่งดีมากๆ เป็นการยิ่งตอกย้ำถึงความมั่นใจว่า ปรากฏการณ์นี้ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา ไม่ใช่เกิดเองตามธรรมชาติ และมนุษย์ก็ไม่อาจจะทำขึ้นได้ นอกจากพญานาคที่มีกุศลศรัทธา และก็อยู่จำศีลในพรรษาครบถ้วนไตรมาสเท่านั้น
ชาวพุทธควรทำอย่างไรในวันนั้น
เพราะฉะนั้น
เราน่าจะเปลี่ยนวิธีการใหม่ แทนที่จะไปเถิดเทิงกลองยาวหรืออะไรต่างๆ ที่ผ่านมาแล้ว
ให้ลืมไปเสียให้หมด แล้วมาเริ่มทำสิ่งดีๆกันใหม่ ขอเรียกกิจกรรมดีๆนี้ว่า Bubble for peace โดยกิจกรรมนี้เราจะเริ่มกันตั้งแต่เช้าตรู่ของวันนั้น
จนถึงช่วงคำกันเลยทีเดียว โดย
๑.ให้เราเริ่มสั่งสมบุญกันตั้งแต่เช้า
โดยนิมนต์พระมาจากทั่วประเทศ มีกี่หมื่นองค์นิมนต์มาเลยทั้งสองฝั่งไทยลาว
มาใส่บาตรกันในตอนเช้า แล้วบำเพ็ญบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนากันตลอดทั้งวัน
๒.
อย่าให้มีเหล้า สุราเมรัย บุหรี่ หรือสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ และต้องไม่ให้มีเลย
เพราะเมื่อเมาแล้วก็ส่งเสียงร้องรำทำเพลงไปรบกวนนาคเขา หรือทำสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ
บาปจะเกิดขึ้นกับมนุษย์ผู้ไม่รู้เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้พญานาคพ่นบั้งไฟมาน้อย พ่นไม่ตรงตามเวลาบ้าง
หรือพ่นบ้าง ไม่พ่นบ้าง เพราะการจะพ่นบั้งไฟออกมาได้นั้นต้องอาศัยกำลังแห่งมหาปีติเกิดขึ้นจึงจะออกมาได้
แต่ถ้ามนุษย์ไปรวมชุมนุมกันด้วยความสงบ
ด้วยใจที่เลื่อมใสต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพร้อมใจกันสวดสรรเสริญพุทธคุณ
พญานาคก็จะเกิดจิตปีติยินดี สมาธิก็จะตั้งมั่น
แล้วเดี๋ยวสิ่งอัศจรรย์ก็จะพลันบังเกิดขึ้นในวันนั้น
๓.
ปัดกวาดบ้านเรือน ถนนหนทางให้สะอาด
๔.ทำกาย
วาจา ใจ ของเราให้สะอาด บริสุทธิ์ ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส พูดปิยวาจา
กล่าวแต่สิ่งที่ดีงาม มีสิริมงคล ด้วยถ้อยคำที่ทำให้มีความปีติเบิกบานระลึกถึงกัน
๕.
ตอนพลบค่ำ ทั้งภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
สาธุชนนานาชาตินับแสนให้มาสวดมนต์ระลึกนึกถึงคุณพระรัตนตรัยพร้อมๆ
กันทั้งสองฝั่งไทยลาว ซึ่งทั้งสองฝั่งต่างก็เป็นเครือญาติกัน
เพราะว่าบางทีไทยก็เป็นเขยของฝั่งลาว ลาวก็เป็นเขยของฝั่งไทย
สะใภ้ไทยก็ไปอยู่ฝั่งลาว สะใภ้ลาวก็ไปอยู่ฝั่งไทย
เราต้องรักกันเป็นเครือเหมือนเครือกล้วย
ผู้ที่มาร่วมกันทำสิ่งดีๆ
ดังกล่าวนี้ ก็จะได้รับอานิสงส์แห่งการสวดสรรเสริญพระรัตนตรัยบริเวณแม่น้ำโขง ซึ่งตัวผู้สวดก็จะมีสิริมงคล
เกิดมหาโชค มหาลาภ จะไม่มีภัยพิบัติทางน้ำ เพราะบุญที่เกิดขึ้นจากการสวดสรรเสริญ และพญานาคก็จะคอยคุ้มครองรักษาในทางน้ำ
ไปในที่แห่งใดก็จะได้เป็นใหญ่ด้วยอานิสงส์ที่สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย
จะเป็นที่รักของมนุษย์และเทวดา จะเข้าถึงฐานะแห่งความเป็นมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ จะได้รับการยกย่องชื่นชม
ได้รับเกียรติในทุกสถานที่ และอานิสงส์แห่งการเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ สมบัติใหญ่จะไหลมาเทมา
เราจะมีดวงปัญญาอันเลิศ มีรัศมีสว่าง ผิวพรรณผ่องใส ตอนเป็นมนุษย์ก็จะรูปหล่อรูปสวยทีเดียว
จะปลอดภัยในทุกสถานที่
จะได้เกิดในตระกูลสูง มีสิ่งแวดล้อมที่ดีที่จะสนับสนุนในการสร้างบารมี ได้ไปเกิดในเทวโลก
ปิดประตูอบาย แล้วก็จะได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในได้โดยง่าย
เมื่อไปเกิดบนสวรรค์ก็จะมีรัศมีสว่างไสวกว่าเทวดาเหล่าอื่น เมื่อมาเป็นมนุษย์ ศัตรูหมู่ภัยพาลก็ครอบงำไม่ได้
จะมีแต่คนดีอยู่รอบข้าง อุปสรรคต่างๆ นานาในชีวิตจะมลายหายสูญ จะไม่มีใครทำให้เดือดเนื้อร้อนใจได้
และก็จะปลอดภัยจากสัตว์ที่มีพิษร้ายต่างๆ เช่น ตะขาบ แมงป่อง งู เงี้ยวเขี้ยวขอ
ตลอดไป นี้เป็นอานิสงส์แต่เพียงโดยย่อ
การทำกิจกรรมดีๆ
นี้ นอกจากตัวเราจะได้อานิสงส์ดังกล่าวแล้ว เชื่อไหมว่า
ชาวโลกเขาก็อยากจะมาเห็นภาพดีๆ อย่างนี้ เพราะเป็นภาพที่เขาขาดแคลน
ชาวต่างชาติต่างหลั่งไหลมาเพื่อดื่มด่ำวัฒนธรรมที่ดีงาม
แล้วจะได้เห็นความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากความเลื่อมใสของพญานาคและของชาวพุทธทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง
ถ้าวันนั้นทั้งสองฝั่งได้ทำอย่างนี้ให้เกิดขึ้น
เดี๋ยวเราจะเห็นความอัศจรรย์เกิดขึ้น ทั้ง ๓ ท้อง คือ
บนท้องฟ้าจะสว่างไสวด้วยแสงจันทร์เพ็ญ ท้องน้ำก็สว่างไสวด้วยเปลวประทีปของพญานาค
ที่ท้องเราก็สว่างด้วยประทีปธรรมภายใน
เมื่อชาวโลกมาเห็นภาพอันงดงามนี้
ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสก็จะเลื่อมใส ที่เลื่อมใสแล้วก็จะเลื่อมใสยิ่งขึ้น ปีแรกคนอาจจะมาแค่ไม่กี่แสน
แต่ปีถัดๆ ไป เมื่อสิ่งดีๆ นี้ เกิดขึ้น เขาก็จะไปเล่าสู่กันฟังด้วยความปลื้มปีติ
เดี๋ยวก็จะมากันมากเอง และจะเป็นทางไปสู่สวรรค์ เป็นทางมาแห่งบุญของทุกๆ คน
ภาพเหล่านี้
ใครๆ ในโลกเขาอยากจะเห็นกัน ไม่ใช่เฉพาะพี่น้องชาวไทยหรือชาวลาวสองฝั่งเท่านั้น
เพราะว่าเป็นภาพที่มีแห่งเดียวในโลก เกิดขึ้นปีละครั้งและสม่ำเสมอทุกปี
เป็นเวลายาวนานกว่า ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว จึงเป็นสิ่งที่ใครๆ
เขาอยากจะดูกัน และถ้ามีบรรยากาศที่ชวนดู ก็จะยิ่งสร้างความปลื้มปิติ
และใครได้มาดูในวันนั้น ใจของเขาจะไม่ลืมเลย ใจจะใส บาปอกุศลไม่ได้ช่อง
ยามใกล้ละโลก ภาพนี้จะไปปรากฏในใจ ทำให้ใจเขาใส และก็เป็นนิมิตผ่านไปสู่สุคติโลกสวรรค์
ที่หลวงพ่ออยากให้พวกเราได้ไปเห็น
และได้ไปอยู่ที่ตรงนั้น เพราะมีความเกี่ยวโยงกับพระพุทธศาสนากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในยุคนี้พุทธบริษัททั้ง ๔ คือ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
สาธุชนบางท่านอาจไม่เชื่อว่ามีพญานาคจริง
คือเชื่อว่าเป็นนิยายปรัมปราอยู่ในวรรณคดี บางคนไม่เชื่อว่ามีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่เชื่อว่ามีพระไตรปิฎก กลับมีความเชื่อว่าคนมีปัญญาเขาแต่งขึ้นมา อย่างนี้มีอยู่
ซึ่งอันตรายมาก ศึกภายนอกนั้นไม่สำคัญเท่ากับพุทธบริษัททั้ง ๔
สร้างข้าศึกภายในใจขึ้นมาด้วยความไม่รู้ แล้วก็คิดเอาเองตามความเข้าใจของตัว
เพราะตัวก็ไม่เคยเห็น ตัวทำไม่ได้ และก็ไม่เคยเห็นใครทำได้ ซึ่งถ้ามีความคิดกันอย่างนั้นมันอันตราย
เพราะฉะนั้น
นี่ก็เป็นอีกทรรศนะหนึ่งของโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา และขอฝากสิ่งนี้เอาไว้สำหรับพี่น้องสองฝั่ง
ทั้งฝั่งลาวและฝั่งไทยซึ่งต่างก็เป็นเครือญาติกัน
ช่วยกันทำให้วัฒนธรรมอันดีงามนี้เกิดขึ้นในในยุคนี้ให้ได้เลย
คุณครูไม่ใหญ่
ข้อมูลเพิ่มเติม
พญานาค ลุ่มแม่น้ำโขง 1
คลิป https://www.youtube.com/watch?v=dr0pVJ-wtX0
----------------
พญานาค ลุ่มแม่น้ำโขง 2
https://www.youtube.com/watch?v=FLsriDeqfVA
---------------
กิเลสพญานาค 1
https://www.youtube.com/watch?v=wO3KAP1Jgo0
-------------
กิเลสพญานาค 2
https://www.youtube.com/watch?v=WPj40COq-_o
-----------------
พญานาค 4 ตระกูล 2
https://www.youtube.com/watch?v=9keBXHdvjhQ&list=RDCMUCSiVNsTIokhO2N4Vf_fjVHA&index=12
--------------
https://www.youtube.com/watch?v=TjI8o50hChs
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2565