วันนี้
เราได้กรานกฐิน ได้อานิสงส์ของกฐินกันแล้ว ต่อจากนี้ไปเราเป็นผู้ใหญ่กันเพิ่มขึ้น
เขาก็จะเปลี่ยนเรียกจากหลวงพี่เป็นหลวงน้า หลวงอา หลวงลุง หลวงพ่อ หลวงปู่ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ
อย่าให้เขาเรียกฟรีๆ ให้เขาเรียกขานด้วยความรู้สึกปีติ ยินดี
ภาคภูมิใจที่พรรษาที่ผ่านๆ ไป ไม่ได้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
แต่ว่าคุณธรรมภายในของเราเพิ่มพูนกันขึ้นไปเรื่อย
เราจะนั่งนอนยืนเดินตรงไหนก็มีความสุข
มีปีติเป็นรางวัลสำหรับผู้ที่บริหารเวลาเป็น ให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติธรรมควบคู่กับกิจวัตรกิจกรรม
ถ้าเราเข้าถึงธรรมได้
จะมีกำลังใจที่มหาศาลทีเดียว
ไม่มีความรู้สึกว่าอะไรมาเป็นอุปสรรคสำหรับชีวิตของการสร้างบารมี จะดิน อากาศ ฟ้า
คนจะโจมตีใส่ร้ายป้ายสี หรืออะไรที่นอกเหนือจากนี้ก็ตาม ไม่หวั่นไหว เพราะใจมีความสุข
มีความสุขจนกระทั่งไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น เพราะคิดเรื่องอื่นไม่มีความสุขหรอก
แค่หยุดกับนิ่งภายในองค์พระ มันมีความสุข มีกำลังใจมหาศาล
ความรู้สึกที่อยากจะศึกษาวิชชาธรรมกาย
จะเกิดขึ้นมาเอง คือ วันนี้รู้แค่นี้ พรุ่งนี้อยากจะรู้เพิ่มขึ้น มะรืนนี้อยากจะรู้ให้ดีกว่าเมื่อวานนี้
และความรู้สึกที่ว่าไม่อยากจะให้วันเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แม้เพียงวินาทีเดียว
อยากจะใช้เวลาทุกวินาที เป็นไปเพื่อการสร้างบารมี ความรู้สึกอย่างนี้เกิดขึ้นเอง
ไม่ใช่พยายามที่จะให้เกิด หรือพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญา แล้วทำให้เกิด เกิดเองเลย
พอได้ธรรมกายแล้วจะคิดอย่างนี้เองเลย
แล้วความรู้สึกที่ดีๆ
จะคั่งค้างอยู่ในใจเราตลอด และมีเหลือเฟือจนกระทั่งเราสามารถแบ่งปันเป็นคำพูดแจกจ่ายกับเพื่อนสหธรรมิก
หรือสาธุชนทั้งหลายที่เข้าใกล้เรา พอมีมากก็อยากแบ่งปัน
และเป็นการให้ที่เป็นทางมาแห่งความสุข
ให้อะไรจะมามีความสุขเท่ากับการให้เขาเข้าถึงธรรมกายเป็นไม่มี
พอเรามีตรงนี้เหลือเฟือแล้ว
เราก็อยากแจกจ่าย คำว่า จำหน่ายแจกจ่ายธรรม
จะเกิดเองนะ จะอยากพูด อยากคุย อยากแนะ อยากนำ อยากให้เขาเข้าถึงพระธรรมกาย
อยากจำหน่ายจ่ายแจกธรรม จะเกิดเองโดยไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องฝืน
แล้วเวลาที่ได้ให้ความบริสุทธิ์
จะมีปีติเป็นรางวัล มีความสุขทุกครั้งที่ให้ และจะเข้าใจว่า การให้ธรรมทานเลิศกว่าการให้ทั้งปวง มีความสุขมาก
เวลาเห็นใครเขาเข้าถึงสักคน โอ ชื่นใจกว่าให้รถ ให้เพชรนิลจินดา
ให้สมบัติต่างๆ
พอให้เขาไปแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์หรือเปล่า บางทีให้วัตถุความเสียดายยังตามมาภายหลัง
แต่ให้ธรรมทานแปลกนะ ถ้าให้เขาเข้าถึงธรรมกายได้ ไม่เสียดาย
ปลื้มทุกครั้งทุกขณะจิตที่ให้ ที่ตามระลึกถึง
แล้วจะมีกระแสใจอย่างนี้ออกจากตัวไปเอง
ซึ่งผู้ที่เข้าใกล้ ไม่ว่าจะเป็นพระ เป็นเณร เป็นอุบาสก อุบาสิกา สาธุชน
เขาสัมผัสได้ และความรู้สึกที่ดีก็เกิดขึ้นกับเรา บางทีเราไม่ต้องพูดอะไร เรานั่งนิ่งๆ
สบายๆ เขามีความทุกข์มาเยอะแยะ อยากจะมาระบายให้เราฟัง
อยากจะถ่ายเทความทุกข์ให้หมด แค่เจอหน้า บางทีไม่รู้จะพูดอะไร แต่เขารู้ว่าทุกข์ของเขาดับไปแล้ว
เหมือนถือคบเพลิงทวนลม ลมจะพัดความร้อนจากคบเพลิงเข้าหน้าเข้าตัว ก็ร้อนอบอ้าว
แต่พอมาเจอสายฝน ฝนฟ้าตกมาดับคบเพลิง ใจเขาก็ชุ่มเย็นหายเร่าร้อน ถ้าหากเขาเจอเราอยู่ในสภาวะอย่างนี้
ความเร่าร้อนในใจเขาก็ดับไป
หลวงพ่ออยากให้สมาชิกวัดพระธรรมกาย
โดยเฉพาะนักบวช เป็นอย่างที่ว่านี้ ถ้าได้อย่างนี้ หลวงพ่อว่าโลกมันเหลือใบนิดเดียว
ไม่เพียงพอที่เราจะก้าวไป ก้าวไม่กี่ทีก็ทั่วแล้ว เพราะว่าเรามีกำลังใจ มีปีติ
มีความสุขในการเดินทางไปทุกหนทุกแห่งทั่วโลก จนกระทั่งกำลังใจกล้าแกร่งในระดับที่อยากจะเฉลี่ยไปจักรวาลอื่น
ซึ่งที่พูดมานี้ไม่ได้เกินความจริงเลย
คุณครูไม่ใหญ่
วันอาทิตย์ที่ ๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๑
๑๙.๑๘ น. – ๑๙.๕๑ น.
กรานกฐิน ณ อุโบสถวัดพระธรรมกาย
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2565