วัตถุประสงค์การบวช
เราได้กล่าวคำอธิษฐานพรรษาโดยพร้อมเพรียงกันว่า
เราจะอยู่จำพรรษาร่วมกันในขอบเขตดังที่ได้แจ้งไปให้ทราบแล้ว ก็ให้ลูกทุกๆ
รูปพึงตั้งใจศึกษาเรียนรู้พระธรรมวินัยไว้ให้ดีว่า พรรษานี้เราจะทำอะไรอย่างไรถึงจะให้กาย วาจา
ใจของเราใส สะอาด บริสุทธิ์ที่สุด แล้วถูกต้องตามพระธรรมวินัยที่สุด
เพราะเราทิ้งทุกอย่าง วางทุกสิ่ง
เข้าวัดมาบวชกันในคราวนี้ ตั้งแต่พระภิกษุใหม่ พระนวกะ จนกระทั่งพระเถรานุเถระ พระมหาเถระ
ก็มีวัตถุประสงค์หลักเพียงอย่างเดียว คือ การมาบวชเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง สลัดตนให้พ้นจากกองทุกข์ ขจัดกิเลสอาสวะที่มีอยู่ในใจของเราให้หมดสิ้นไป
ให้เหลือแต่กาย วาจา ใจที่ใส สะอาด บริสุทธิ์ ที่พ้นจากการเป็นบ่าวเป็นทาสของพญามาร
นี่คือวัตถุประสงค์หลักเช่นเดียวกับในสมัยพุทธกาล
รองลงมา ก็เพื่อการบำเพ็ญเนกขัมมบารมี
รวมทั้งบารมี ๑๐ ทัศ โดยเฉพาะเนกขัมมบารมีนี้ ให้เป็นอุปนิสัยปัจจัยติดไปในภพชาติต่อๆ
กันไป คือ ตั้งแต่เราเป็นคฤหัสถ์เข้ามาบวชเป็นพระในช่วงสั้นๆ
อย่างน้อยก็ ๑ พรรษา อยู่รับกฐิน แล้วก็ออกเดินธุดงค์
หรืออย่างกลางก็บวชช่วงยาว
บวชไปวันต่อวัน เดือนต่อเดือน ปีต่อปี เท่าที่เราจะมีความพึงพอใจที่จะสั่งสมเนกขัมมบารมี
รวมทั้งบารมี ๑๐ ทัศให้มากขึ้น
ตลอดจนกระทั่งบวชอุทิศชีวิต
เพื่อพระพุทธศาสนา คือ ผู้ที่มีบารมีแก่กล้ามากขึ้น มองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะไปใช้ชีวิตในเพศของคฤหัสถ์
ซึ่งมีเครื่องข้อง เครื่องกังวลเยอะ โอกาสที่จะทำกาย วาจา ใจ ให้สะอาด ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ยากกว่าในเพศของสมณะ
อีกทั้งมีเครื่องพันธนาการของชีวิตมากมาย
เดี๋ยวก็วัน เดี๋ยวก็คืน เดี๋ยวก็จะหมดเวลาของชีวิต
ในช่วงที่อายุของมนุษย์ช่วงที่กัปไขลง เป็นช่วงสั้นๆ ก็ตั้งใจบวชอุทิศชีวิต เพราะเห็นประโยชน์ของการบวชว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
ผู้มีบารมีเขาก็จะคิดกันอย่างนี้ เกิดมาทั้งทีก็ต้องสร้างบารมีกันให้ได้มากที่สุด
ทำความสะอาด บริสุทธิ์ กายวาจาใจให้ได้มากที่สุด
ประโยชน์ของความเป็นพระ
บวชเป็นพระแล้ว
ประโยชน์ของความเป็นพระอยู่ที่ได้เข้าถึงธรรมะภายใน มีความบริสุทธิ์ภายใน
อย่างน้อยก็เห็นดวงใสๆ แต่หลักต้องเข้าถึงพระภายในให้ได้ จึงจะได้ประโยชน์ของการมาบวชเป็นพระ
ตอนเป็นคฤหัสถ์นั้นกายวาจาใจของเราไม่สะอาด
ไม่บริสุทธิ์ ก็ละเพศนั้นมาอยู่ในเพศของบรรพชิต เพื่อกลั่นจิตกลั่นใจให้บริสุทธิ์เพิ่มขึ้นมากกว่าตอนเป็นคฤหัสถ์
จะให้ยิ่งกว่านี้ก็ต้องเข้าถึงพระในตัว คือ เป็นพระแล้วก็เป็นพระอีก
เป็นทั้งพระภายนอก เป็นทั้งพระภายใน ที่เราคุ้นกับคำว่า บวช ๒ ชั้น อย่างนี้ก็จะได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น
เป็นพระภายนอกและพระภายใน
พระภายในก็ตั้งแต่องค์พระที่เป็นกุศลนิมิต จนกระทั่งไปถึงพระธรรมกายโคตรภู เป็นกายธรรมโคตรภู เป็นพระภายในที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ยิ่งๆ
ขึ้น ถ้าจะให้รอดปลอดภัยในสังสารวัฏ ก็ต้องเป็นพระที่บริสุทธิ์เพิ่มขึ้นไปอีก ตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี
พระอนาคามี กระทั่งเป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่ความบริสุทธิ์บริบูรณ์ของความเป็นพระ
ได้รับประโยชน์ของความเป็นพระ
ถ้าจะศึกษาให้ยิ่งๆ
ขึ้นไป ก็จะต้องเข้าถึงพระในพระ บวชแล้วบวชเล่าไปเรื่อยๆ
คือ ได้เข้าถึงวิชชาธรรมกาย วิชชาที่จะต้องศึกษาด้วยธรรมกายล้วนๆ กายอื่นศึกษาไม่ได้ ไปให้สุดสายของวิชชาธรรมกาย ความบริสุทธิ์ก็จะมีเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าจะให้บริสุทธิ์มากกว่านี้จนกระทั่งไปแก้ไขต้นเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย
ต้องไปแก้ที่พญามาร ก็จะต้องทำความละเอียด ทำความบริสุทธิ์ให้ยิ่งกว่านี้เข้าไปอีก จนกระทั่งไปเชื่อมกับพระที่เก่าๆ แก่ๆ ก่อนๆ
นู้น ที่มีธาตุอันบริสุทธิ์มากๆ ขึ้นไป ตั้งแต่ปลายธาตุไปกลางธาตุ แล้วก็ไปถึงพระต้นธาตุโน่น
จึงจะไปสู้รบปรบมือกับพญามารเขาได้
การมาบวชนี้
ถ้าจะให้ได้ประโยชน์ก็ต้องทำดังกล่าว ทำความบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา
บริสุทธิ์ใจ จนกระทั่งเป็นความบริสุทธิ์ที่เราเห็นได้ เข้าถึงได้
นอกจากสัมผัสได้แล้ว ต้องเห็นเป็นแสงสว่าง เป็นดวง เป็นกาย เป็นองค์พระ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด
บวชคราวนี้จึงจะสมความปรารถนา จะได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่ไพศาลเป็นอสงไขยอัปปมาณัง คือ จะนับจะประมาณว่าได้บุญมากขนาดไหนนั้น
ประมาณไม่ได้ คำนวณไม่ได้ จะเข้าถึงอย่างนี้ได้ ใจต้องเกลี้ยงๆ
ไม่มีพันธนาการของชีวิต
ทำประโยชน์ตนให้ได้ก่อน
เมื่อเราตัดสินใจมาบวชแล้ว
ต้องทำประโยชน์ตนของเราให้เกิดขึ้น นอกเหนือจากประโยชน์ผู้อื่น ต้องทำประโยชน์ตนของเราให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ให้ได้เข้าถึงพระภายในดังกล่าวนั้น ด้วยการทำจิตให้บริสุทธิ์ ไม่ให้ใจไปเกาะ ไปเกี่ยว
ไปเหนี่ยวไปรั้งในเรื่องราวที่ทำให้เกิดความยินดียินร้าย
ต้องระวังรักษาทวารต่างๆ ไม่ว่าทางตา
ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อะไรที่จะเข้ามาในใจแล้ว จะทำให้เกิดความยินดี
ยินร้าย ทำให้เราสูญเสียความบริสุทธิ์ ทำให้เกิดความทะยานอยาก ซึ่งเป็นเครื่องมือของมาร
เราก็ต้องเอาชนะมันตั้งแต่แรก
เช่น ตาเราไปเห็นอะไรก็ตาม ที่เราได้ยินว่า
ตากระทบรูป เห็นภาพคน สัตว์ สิ่งของต่างๆ เหล่านั้น เป็นต้น จะต้องรักษาความบริสุทธิ์ตรงนี้ให้ดี ต้องระวังตรงนี้ให้ดี อย่าให้มันลงไปปรุงจิตให้เกิดความยินดียินร้าย ไม่ว่ายินดีหรือยินร้ายจิตก็ไม่บริสุทธิ์
จะต้องระวังกันตั้งแต่ตอนนั้น ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เช่นเดียวกัน
เมื่อใจเราเป็นกลางๆ
ปราศจากความยินดียินร้ายที่พญามารเขาส่งมาให้เป็นเครื่องมือมาร ความอยากเป็นเครื่องมือมาร เป็นสมุนของมาร เป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์
ถ้าเราทำหยุดทำนิ่งได้ ทำใจเฉยๆ ได้ มันก็ลงไปปรุงในใจเราไม่ได้ ใจเราก็จะเกลี้ยงๆ ใจจะนิ่งอย่างนุ่มนวลลงไปเอง เดี๋ยวความสว่างภายในก็เกิด ความสว่าง คือ ความบริสุทธิ์เบื้องต้นที่มาพร้อมกับความสุข
บวชแล้วต้องรู้จักว่า ความสุขเป็นอย่างไร ความบริสุทธิ์เป็นอย่างไร
ป้อมปราการสำคัญของใจ คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
พรรษานี้ เราจะมีโอกาสได้ฝึกฝนตัวของเราเองไม่ให้ใจของเราหลุดออกจากตัวของเรา
ต้องอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วอยู่ในที่ตั้งแห่งชัยชนะ
ป้อมปราการที่สำคัญของใจ
คือ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ใจจะต้องหยุดนิ่งอยู่ที่ตรงนี้
เมื่อความยินดียินร้ายที่พญามารเขาส่งมาให้
แล้วเรารู้ทัน เราดักมันไปเสียก่อน ใจนิ่งอยู่ตรงนี้ได้ พญามารมันก็ทำอะไรเราไม่ได้
เราก็จะเข้าถึงความสุข
ความบริสุทธิ์ ความสว่าง การเห็นแจ้งภายในที่มาพร้อมกับความรู้แจ้ง เห็นดวง เห็นกายในกายซ้อนๆ
กันอยู่ เห็นธรรมในธรรม เห็นจิตในจิต เห็นองค์พระในองค์พระซ้อนๆ กันอยู่ภายใน
อานุภาพแห่งความบริสุทธิ์
เมื่อใจแต่ละดวงของพวกเราแต่ละองค์ใส
บริสุทธิ์ มีความบริสุทธิ์มากๆ มารวมกัน ก็จะเกิดมวลแห่งความบริสุทธิ์ เหมือนลูกพระลูกเณรทุกรูปที่มาอธิษฐานพรรษาร่วมกันนี่
จะเกิดพลังแห่งความบริสุทธิ์ขึ้นมาในใจดังกล่าว ในแต่ละองค์ก็มารวมกันก็จะเป็นมวลแห่งความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นในอาณาบริเวณที่เรากำหนดขอบเขตอยู่จำพรรษา
มวลแห่งความบริสุทธิ์นี้ จะทำให้เกิดอานุภาพอันไม่มีประมาณ
แล้วก็สามารถสร้างสถานที่ของเรา
หรือดินแดนที่เรากำหนดขอบเขตแห่งการอยู่จำพรรษานี้เป็นดินแดนพิเศษได้ คือ เรามีความสุข
มีความบริสุทธิ์ มีอานุภาพ ใครที่เขาได้เหยียบย่างเข้ามา เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา
ญาติโยมทั้งหลาย เขาก็จะได้รับความบริสุทธิ์ ความสุข ความสมหวัง
การเข้าถึงธรรมติดตามตัวไปด้วย ทุกข์ไม่อาจเข้ามาในดินแดนนี้ได้
ความบริสุทธิ์ต้องเพิ่มขึ้นทุกวัน
พรรษานี้เรามีเวลาจำกัดนะลูกนะ
วันนี้เป็นวันเริ่มต้น เราจะนับถอยหลังกันไปทุกๆ วันอย่างนี้ ไม่ช้าก็สิ้นสุดกันแล้ว
แต่ความบริสุทธิ์ของเราจะต้องเพิ่มพูนขึ้นในทุกวันที่ผ่านไป
พรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้
บริสุทธิ์กว่าวันนี้ สะอาดกว่าวันนี้ พลังมวลแห่งความบริสุทธิ์ของเราต้องมีมากขึ้น เพิ่มขึ้น อานุภาพแห่งขอบเขตการจำพรรษาของเราก็จะต้องมีมากขึ้น
ถ้าเรามีความสุข
มีความบริสุทธิ์ภายใน เราจะสังเกตเห็นสิ่งแวดล้อม ดิน อากาศ ฟ้า และผู้คนจะแตกต่างไปจากที่เราเคยเห็น
จะสวยสดงดงามขึ้น จะบริสุทธิ์ขึ้น จะมีความสุขขึ้น
หยุดนั่นแหละเป็นตัวสำเร็จ
ที่จะทำให้เกิดภาวะดังกล่าวทั้งมวลนั้น ถ้าใจเราหยุดนิ่งที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
ได้ แล้วเอาใจของเรามาซ้อนกันเป็นหนึ่งเดียวกัน กระแสแห่งความบริสุทธิ์ก็จะครอบคลุม
ไม่ใช่เฉพาะบริเวณของเราอย่างเดียว แต่ว่าจะครอบคลุมขยายไปทั่วทุกทิศทุกทาง กระทั่งครอบคลุมโลกใบนี้ แล้วก็กลั่นโลกใบนี้ได้ ไปเชื่อมกับผู้รู้
ผู้เห็น ผู้มีอานุภาพทั้งหลายได้
เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะลูกนะ
ให้ตั้งมั่นตั้งใจให้ดี ทั้งผู้มาบวชใหม่ ทั้งผู้ที่บวชอยู่เก่าแล้ว พรรษานี้ต้องให้แตกต่างจากทุกพรรษาที่ผ่านมา
ในการสั่งสมความบริสุทธิ์ดังกล่าว ด้วยหยุดกับนิ่งให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
ในที่สุดนี้ หลวงพ่อขออนุโมทนา
สาธุการ และขออำนวยพรให้ลูกทุกๆ รูป จงมีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง อย่าเจ็บ
อย่าป่วย อย่าไข้ ให้ปลอดจากสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อการกุศล และการประพฤติพรหมจรรย์
ให้ลูกฝึกใจหยุดนิ่งได้
เข้าถึงธรรมได้ เข้าถึงพระธรรมกายได้ เข้าถึงวิชชาธรรมกายได้ มีรู้ มีญาณแม่นยำ ถูกต้องร่องรอยตรงไปตามความเป็นจริงทุกประการ
เทอญ
----------------------------------------------------------------
เรื่อง : พลังมวลแห่งความบริสุทธิ์
โดย : พระเทพญาณมหามุนี
(หลวงพ่อธัมมชโย)
ผู้ฟัง : พระภิกษุ สามเณร
สถานที่ : อุโบสถ วัดพระธรรมกาย จ. ปทุมธานี
ในโอกาส : พิธีมหาปวารณาวันเข้าพรรษา
เมื่อ : วันอังคารที่
๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
เวลา : ๐๙.๓๐ - ๑๑.๐๐
น.
วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2565