การสร้างบารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้างดงามทั้งเบื้องต้น ท่ามกลางและเบื้องปลาย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นต้นแบบที่สมบูรณ์ที่สุดของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายตลอดทั่วทั้งภพสาม
การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมยังตลอดภพสามให้สว่างไสว ดับความเร่าร้อนของกิเลส
ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายมีหนทางพ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร
การแสดงธรรมของพระองค์
เสมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด หรือบอกหนทางแก่คนหลงทาง ประดุจส่องประทีปในที่มืด
เพื่อให้คนที่มีตาดีได้มองเห็น
พระองค์ทรงเป็นผู้ห่างไกลจากกิเลส หรือพ้นจากกิเลสแล้ว เพราะทรงกำจัดเสียซึ่งกิเลสทั้งหลาย
พระองค์บริสุทธิ์ผุดผ่องประดุจแท่งทองชมพูนุช
หรืออีกนัยหนึ่งว่าใสประดุจดวงแก้ว
อันประมาณค่ามิได้
เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ หมายถึงทั้งรู้ ทั้งเห็นอย่างถูกต้อง โดยอาศัยธรรมจักษุและญาณทัศนะ ซึ่งสิ่งทั้งหลายที่พระองค์รู้เห็นนั้นก็ตรงไปตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าคาดคะเนหรือว่าอนุมานเอา
พระองค์ทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
หมายถึงรู้สิ่งที่กำจัดความมืดคืออวิชชา และทรงมีศีลาจารวัตรที่งดงาม
สุคโต
ทรงเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว หมายถึง เสด็จไปสู่พระนิพพาน และเมื่อพระพุทธองค์ผู้ประพฤติดีทั้งกาย
วาจา ใจ อย่างสม่ำเสมอมานับภพนับชาติไม่ถ้วน
เมื่อเสด็จไปถึงที่ใด
ย่อมยังสรรพสัตว์ทั้งหลายให้เกิดความชุ่มเย็นด้วยพระบุญญาบารมีของพระองค์
คำว่า
สุคโต ใช้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะพระองค์เสด็จไปดีอย่างถาวร ซึ่งแตกต่างจากมนุษย์จะใช้คำว่า
สุคติ คือ ไปดีแบบชั่วคราว เพราะยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร
ทรงรู้แจ้งโลก หมายถึง ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในภพสาม
นอกภพก็รู้ นิพพาน ภพสาม โลกกันตร์
รู้หมดเลย
ทั้งรู้ทั้งเห็นด้วยสัพพัญญุตญาณ ด้วยธรรมจักษุและด้วยญาณทัศนะ แทงตลอดทั้งขันธโลก สัตวโลก โอกาสโลก แทงตลอดหมดเลยตั้งแต่จิตใจมนุษย์ ขันธ์ ๕
สิ่งแวดล้อมออกไป ประกอบเหตุอย่างนี้จะไปเป็นผลอย่างไร เจอผลอย่างนี้มาจากประกอบเหตุอย่างไร เรื่องเหตุเรื่องผลพระองค์แทงตลอดหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวอะไรก็ตาม พระองค์ทรงรู้เห็นหมดทุกเรื่องที่ปรารถนาจะรู้ด้วยสัพพัญญุตญาณ
บางท่านมีคำถามว่า
พระองค์สร้างจรวดได้ไหม แค่ไปส่องดูก็รู้แล้ว
ทั้งรู้ทั้งเห็นถึงวิธีการอะไรทุกอย่างหมด แต่ความรู้นี้ไม่เกิดประโยชน์ จะไปถึงไหนกิเลสตัวเดิมก็ยังติดตัวไป
เพราะฉะนั้นพระองค์รู้แต่ไม่ทำแล้วก็ไม่สอนใครด้วย เพราะมันไม่เกิดประโยชน์ ไม่ใช่หนทางดับทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเสมือนสารถีผู้ฝึกสอนคนเป็นอย่างดี จะหาผู้อื่นเสมอเหมือนมิได้ ครูบาอาจารย์ตามสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
สอนยังติดอยู่ในภพ สอนแต่เรื่องวิชาชีพ
แต่พระองค์สอนวิชชาชีวิตให้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ หลุดจากกิเลสอาสวะได้ พ้นจากสังสารวัฏได้ ซึ่งไม่มีใครสอนได้อย่างพระองค์
เพราะทรงทราบว่าชีวิตในสังสารวัฏขึ้นอยู่กับบุญและบาปเท่านั้น
ถ้ายังไม่พ้นตรงนี้ก็ยังตกอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
ทรงเป็นพระบรมครูของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ก็ยังไม่เคยเห็นศาสดาใดเป็นครูของเทวดา
มีแต่อ้อนวอนเทวดา มีแต่มีเทวดาเป็นครู
แต่พระองค์ทรงสอนมนุษย์และเทวดา
ตลอดกระทั่งถึงพรหม
โดยการแสดงธรรมสั่งสอน
ให้กับพุทธบริษัททั้ง ๔
แล้วก็แก้ปัญหาให้กับเหล่าเทวดาในยามเที่ยงคืนทุกวัน
คำว่า
เทวดา ในที่นี้ไม่ใช่หมายถึง สมมุติเทวดาคือพระราชาหรือผู้ปกครองประเทศเท่านั้น
หากแต่หมายถึงเทวดาจริง ๆ ที่มีรัศมีโอภาส
เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นต่าง ๆ
มายืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เพื่อมาซักถามปัญหาพระองค์
เพราะเทวดาก็ใช่ว่าจะรู้เรื่องราวไปทั้งหมด เพราะเทวดาก็คืออดีตมนุษย์ แล้วก็ยังมีกิเลสอาสวะอยู่ คือยังมีเครื่องบดบังดวงตา
การเห็นแจ้งและรู้แจ้ง
เพราะทิพยจักษุจะไปแทงตลอดในธรรมทั้งปวงไม่ได้ต้องธรรมจักษุ
ทรงเป็นผู้เบิกบานเปรียบดอกปทุมชาติ ที่เปรียบกับดอกปทุมชาติ เพราะมนุษย์เคยเห็นแค่ดอกปทุมชาติ
ถ้าอุปมาอย่างนี้เขาเห็นชัด
แต่ถ้าบอกเบิกบานเหมือนดอกไม้บนสวรรค์มนุษย์ไม่เห็นก็จะไม่เข้าใจ
เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงสมความปรารถนาที่ทรงตั้งปณิธาน บำเพ็ญบารมีมานับภพนับชาติไม่ถ้วน เพื่อที่จะได้มาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงเป็นผู้จำแนกธรรมทั้งหลาย คือ
กำหนดหัวข้อธรรมเป็นหัวข้อเรียงไปตามลำดับซึ่งไม่ใช่ง่าย เช่น สูตรแห่งความสำเร็จมี ๔ ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ทำไมพระองค์จำแนกได้ เพราะพระองค์ไปเห็นมาด้วยภาวนามยปัญญา
เห็นเรียงเป็นข้อ ๆ และจะต้องเริ่มต้นด้วยฉันทะ มีใจรักที่จะทำพระนิพพานให้แจ้ง
แล้ว วิริยะ ทำความเพียร
จิตตะ ใจต้องจดจ่อ วิมังสา หมั่นสังเกตพิจารณาดูว่า มีข้อบกพร่องอย่างไร
แล้วก็จะพบวิธีแห่งการแก้ไขแล้วพบช่องทางแห่งความสำเร็จ
จะมีเป็นข้อ
ๆ นะ ๑. ฉันทะ ๒. วิริยะ ๓.จิตตะ ๔ วิมังสา จะเป็นดวงธรรมอยู่ในดวงธรรม
ในแต่ละดวงมีลักษณะไม่เหมือนกัน
ฉันทะดวงหนึ่ง วิริยะดวงหนึ่ง จิตตะดวงหนึ่ง วิมังสาอีกดวงหนึ่ง พอเข้าไปถึงดวงฉันทะ จะรู้เลยว่า
รสชาติฉันทะเป็นอย่างนี้ มีลักษณะอย่างนี้ มีคุณสมบัติอย่างนี้ เข้าไปในดวงที่ ๒ วิริยะ มีรสชาติอย่างนี้
เป็นอย่างนี้ จนครบ ๔ ดวง ไม่มีดวงที่ ๕ ,๖,๗ นี่คือ จำแนกธรรม
ไม่อย่างนั้นจะเรียกจำแนกธรรมได้อย่างไร
ไม่มีนักคิดคนใดในโลกคิดเรื่องราวเหล่านี้ได้ คิดไม่ออกคิดแล้วกะโหลกบานสติเฟื่อง
แต่นักคิดทั้งหลายมักจะคิดว่า พระองค์ทรงเป็นนักคิดคนหนึ่งที่คิดขึ้นมาเป็นข้อ ๆ
แต่ความจริงแล้วความรู้นี้ไม่ได้เกิดจากการคิด
แต่เป็นความรู้ที่เกิดจากการเห็น พระองค์ไปเห็น พอเห็นแจ้งก็รู้แจ้งในทันทีว่ามีลักษณะเป็นอย่างนี้
ๆ แล้วก็เห็นเป็นเรื่องราวว่า ใครที่รู้สูตรนี้
ประสบความสำเร็จอย่างไรทั้งทางโลกและทางธรรม
พระองค์เห็นภาพเป็นเรื่องราว
เพราะฉะนั้นทรงเป็นผู้จำแนกธรรมทั้งหลายให้เห็นชัด และนำมาเปิดเผยมาเล่าให้ฟัง ทำให้สาวกได้รู้เห็นและรับปฏิบัติสืบต่อ ๆ กันมา
ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือแบบแห่งการประพฤติอันประเสริฐ
บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ไพเราะทั้งเบื้องต้น ท่ามกลาง และในที่สุด คือข้อวัตรปฏิบัติในการที่จะป็นผู้บริสุทธิ์
กาย วาจา ใจ ทำอย่างไร
จุลศีลเป็นอย่างไร
มัชชิมศีลเป็นอย่างไร มหาศีลเป็นอย่างไร หรืออธิศีลเป็นอย่างไร
ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร
ทรงยังสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ดำรงอยู่ในอริยภูมิอันประเสริฐ คือสอนให้ทุกคนเข้าถึงอริยภูมิ
ภูมิแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงเป็นที่พึ่งอันเกษมอย่างสูงสุดของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นที่พึ่งคือทรงแนะนำสั่งสอน
และนำคือทรงทำให้ดู
และก็ยังเป็นแหล่งแห่งบุญที่พึ่งต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย
และแม้พระองค์ดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ยังเป็นที่พึ่ง
แค่ระลึกนึกถึงพระองค์ท่านด้วยพุทธานุสติก็ปิดประตูอบายภูมิ เปิดประตูสวรรค์
ทรงขับไล่อวิชชา
คือความไม่รู้ ให้ออกไปจากขันธสันดานของสรรพสัตว์ทั้งหลาย คือเมื่อ
มวลมนุษย์ชาติได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ก็จะขับความไม่รู้ที่อยู่ในใจของมวลมนุษยชาติให้หมดสิ้นไป เปลี่ยนมาเป็นความรู้แทน
ทรงเป็นผู้รู้เรื่องราวความเป็นจริงของโลกและชีวิตอย่างแจ้มแจ้งแทงตลอด
ถึงแม้จะเสด็จดับขันธปรินิพพานนานมาได้
๒๕๔๗ ปี แล้วก็ตาม ถึงกระนั้นพระพุทธคุณอันไม่มีประมาณ
ก็ไม่ได้เลือนหายไปจากใจของเราชาวพุทธบริษัท ๔ เลย เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่พุทธบริษัท ๔
ทั้งหลาย จะต้องหันกลับมาศึกษาพุทธประวัติอย่างจริงจัง
จะได้มีจิตเลื่อมใสในพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระบรมครู ตั้งใจศึกษาฝึกฝนและปฏิบัติ
แล้วก็จะได้มาเป็นพยานในการตรัสรู้ธรรมของพระองค์
เป็นแบบอย่างในการสร้างบารมีติดตามพระพุทธองค์ไปสู่พระนิพพาน
อันเป็นเป้าหมายสูงสุดในการเกิดมาเป็นมนุษย์
คุณครูไม่ใหญ่
วันจันทร์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๗
วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559