การฝึกใจให้หยุดนิ่งเป็นกรณียกิจ เป็นกิจที่สำคัญสำหรับการมาเกิดเป็นมนุษย์
เพราะจะทำให้เราพบความสุขที่แท้จริง และพบความเป็นจริงของชีวิต
เมื่อเราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยภายในตัวแล้ว นี่เป็นกิจที่ควรจะต้องทำควบคู่กับการทำมาหากิน
การศึกษาเล่าเรียน การครองเรือน
เหตุที่นั่งไม่ได้ผล
แม้พวกเราจะทราบว่า เป็นกรณียกิจ
เป็นกิจที่ต้องทำ แต่มักไม่ค่อยมีความขยัน
มีความเพียรที่จะปฏิบัติ หรือปฏิบัติก็ปฏิบัติพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจริงจังเพื่อให้ใจตั้งมั่นอยู่ภายใน
ที่ท้อก็เพราะว่า
นั่งแล้วมีความรู้สึกว่า มันไม่ก้าวหน้า ไม่เห็นผลทันอกทันใจ
ซึ่งการที่เรานึกคิดอย่างนี้ มันไม่ถูกต้อง
การปฏิบัติธรรมย่อมมีผลขึ้นสักวันหนึ่ง
แต่มันก็ต้องค่อยๆ สั่งสมความละเอียดของใจไปทุกๆ วัน
เพราะใจเราหยาบด้วยการทำมาหากิน คิดพูดทำแต่สิ่งที่ทำให้อารมณ์จิตมันหยาบ
มันฟุ้งอยู่ตลอดเวลา ไม่ตั้งมั่น แล้วจู่ๆ จะให้มาหยุดมานิ่ง ให้ได้ดั่งใจเลย มันไม่ได้นะลูกนะ
มันต้องอาศัยการฝึกฝน สั่งสมกันไปทุกๆ วัน
อย่าเสียเวลากับสิ่งไร้สาระ
เรามักจะให้ความสำคัญกับการสนุกสนาน
เพลิดเพลิน ผ่อนคลายอารมณ์ไปในเรื่องราวที่ไม่เป็นสาระแก่นสาร ดูทีวีบ้าง อ่านหนังสืออ่านเล่นให้เพลินๆ
หรือไปเที่ยวเตร่ พูดคุยกันให้มันเสียเวลา
ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญกันอย่างจริงจัง ซึ่งความจริงแล้ว ถ้าตั้งใจปฏิบัติกันจริงๆ
ทำให้ถูกหลักวิชชา ทบทวนคำสอนที่ได้ยินได้ฟังมา แล้วก็หมั่นปฏิบัติ หมั่นสังเกต
เดี๋ยวเราก็จะพบเหตุแห่งการบกพร่อง และช่องทางแห่งความสำเร็จ ความสมหวังก็ย่อมจะเกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน
พวกที่ทำไม่ได้
มีเพียงประการเดียว คือ ไม่ได้ทำ หรือทำย่อหย่อน ไม่จริงจังกัน มันก็ไม่ค่อยเห็นผล
อย่าว่าแต่เป็นคฤหัสถ์ เป็นฆราวาสเลย แม้แต่เป็นพระก็เหมือนกัน เฉพาะพระเณรวัดพระธรรมกายนะจ๊ะ
เฉพาะวัดนี้
รักจะเข้าถึง ชอบ รู้อานิสงส์ว่า เข้าถึงแล้วดี
มีประโยชน์ แต่ว่าถ้าปฏิบัติย่อหย่อน ไม่เอาจริงเอาจัง เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ไปเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์บ้าง
หรือว่าไปทำอะไรที่มันนอกเหนือจากนี้ ถ้าให้เวลาไปกับอย่างนี้
นั่งร้อยปีก็ไม่ได้ผล เพราะว่ามันเสียเวลากันไปเปล่าๆ
กับสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ เสียทั้งเวลาการปฏิบัติ
เสียทั้งค่าใช้จ่ายในการเล่นอินเตอร์เน็ต หรืออะไรต่ออะไรต่างๆ เหล่านั้น
ซึ่งกว่าจะได้คอมพิวเตอร์มาสักเครื่องหนึ่ง
ญาติโยมก็ต้องทำมาหากินด้วยความยากลำบาก กว่าจะเกิดกุศลศรัทธามาถวาย
แล้วเอาปัจจัยมาซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทำงานพระศาสนา
แต่ถ้าเอาไปทำอะไรที่มันไม่เกี่ยวกับงานพระศาสนา สิ่งนี้ไม่เกิดประโยชน์
แถมเกิดโทษกับบุคคลที่ใช้เครื่องนี้อย่างผิดวัตถุประสงค์ บาปก็เกิดขึ้นกับตัว
บุญก็ห่างไกล ธรรมะไม่ต้องพูดถึง จะส่งผลในภพชาติต่อไป ต้องทุกข์ยากลำบาก
ต้องเป็นหนี้ ต้องมาใช้หนี้กัน เป็นวัว เป็นควาย เป็นต้น
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตวัดพระธรรมกาย
ก็ต้องเอาใจใส่ ใช้เวลาที่มีจำกัดในโลกนี้ให้มันเป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะตอนที่กำลังแข็งแรง ยังสดชื่นอยู่
สังขารยังพอประคับประคองกันไหว โรคยังน้อย ความปวดเมื่อยยังน้อย เครื่องกังวลยังน้อย
ควรจะรีบฉกฉวยโอกาสที่ดีนี้ มาทำความเพียร มาปฏิบัติธรรม เดี๋ยวเราก็ฝันในฝันกันเป็น
เดี๋ยวก็เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว อย่าปล่อยให้โอกาสนี้มันเป็นวิกฤติ
คือมันผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะความไม่เอาจริงจึงไม่ค่อยได้ผลแห่งการปฏิบัติทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต
อย่าประมาท เร่งทำความเพียร
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยใหม่
เอาสิ่งที่ไม่ดีเหล่านี้ ซึ่งมันเป็นเล่ห์เหลี่ยมคูของพญามารเขา มาบังคับให้เราคิด
เราพูด เราทำอย่างนี้ ต้องเอาสิ่งนี้ออกจากใจ ให้ในใจมีแต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่ท่านสอนให้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท แล้วก็หมั่นศึกษาฝึกฝนปฏิบัติตนของเรา
สักวันหนึ่งเราก็จะต้องสมหวังกันอย่างแน่นอน ที่ไม่สมหวังไม่มี เพราะพระรัตนตรัยท่านก็อยู่ในตัวของเรา ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก ศูนย์กลางกายฐานที่
๗ ก็อยู่ในตัวของเรา ใจนี้ก็ของเรา แต่เราปล่อยให้ฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น ถ้าเราเอาใจกลับมาสู่ที่ตั้งดั้งเดิม
มาหยุด มานิ่ง หยุดนิ่งกันอย่างนี้ได้ มันก็ต้องเข้าถึงกันทุกคน
ใจที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ #อานิสงส์การเข้าถึงธรรม
ตอนแรกมันก็ฟุ้งมากหน่อย
เมื่อยมากหน่อย มืดมากหน่อย เคลิบเคลิ้มบ้าง ง่วงบ้างมากหน่อย พอเรานั่งบ่อยๆ
สิ่งเหล่านี้ก็ค่อยๆ หายไป จากฟุ้งมากก็มาฟุ้งน้อย เมื่อยมากก็มาเมื่อยน้อย
มืดมากก็มามืดน้อย แล้วมันก็จะน้อยๆ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันไม่มืด ไม่เมื่อย
ไม่ฟุ้ง ใจก็จะใส สว่าง ความสว่างมันก็เกิดขึ้นในตัว
ความสุขที่เกิดจากใจสว่างก็เกิดขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย มันเป็นความสุขที่แตกต่างจากที่เราเคยเจอ
ที่ประณีตกว่า ละเอียดกว่า สุขุมลุ่มลึกกว่า
แล้วความสุขนี้ก็จะไม่ซ้ำกันเลย
ในทุกครั้งที่แสงสว่างมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จากแสงน้อยมาแสงมาก
แล้วก็เจิดจ้าขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็ตกศูนย์วูบลงไป เข้าถึงดวงธรรม
เห็นดวงใสๆ ความสุขก็พรั่งพรูออกมาเลย เหมือนเราเจาะไปเจอตาน้ำอย่างนั้น
น้ำก็พรั่งพรูออกมา ทะลักออกมา เอ่อล้นออกมา
ความสุขก็ขยายมาสู่ระบบประสาท
กล้ามเนื้อ ทำให้เรานั่งไม่ค่อยจะเมื่อย มีความสุขทั้งกาย สุขทั้งใจ
เมื่อเห็นดวงใสๆ มันก็จะเบิกบาน แม้ความสุขในระดับนี้ ก็เป็นพื้นฐานแห่งความสำเร็จในชีวิตประจำวัน
เพราะว่ามันจะเข้าไปปรับปรุง ให้ระบบของความคิดเป็นระเบียบขึ้น
มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น คิดได้โปร่งขึ้น พูดได้คล่องขึ้น ทำได้สำเร็จมากขึ้น
มันก็จะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ
จากดวงในดวง ก็เห็นกายในกาย
กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายพรหม กายอรูปพรหม
เป็นชีวิตภายในที่น่าอัศจรรย์ใจทีเดียว มันน่าอัศจรรย์ใจที่เราเห็นได้ เข้าถึงได้
สัมผัสได้ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ซึ่งเราไม่เคยคิดมาก่อนว่า
คนอย่างเราจะเข้ามาถึงตรงนี้ได้ มันจะปลื้ม จะมีปีติ และภาคภูมิใจ
ใจจะเบิกบานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วในที่สุด เราก็จะเข้าถึง
พระรัตนตรัยในตัว ถึงพุทธรัตนะ ถึงธรรมรัตนะ
ถึงสังฆรัตนะ ใจยิ่งเบิกบาน ยิ่งสบายๆ
ก็จะมีความมั่นใจในที่พึ่งที่ระลึกที่แท้จริง
มั่นใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็จะเป็นชาวพุทธที่ดี เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ดี เป็นมนุษย์ที่ดี ที่เกิดมาสร้างบารมี
สิ่งที่ไม่ดีก็จะไม่ทำ แล้วก็จะไม่ยอมดีคนเดียว
จะขยายความดีแบ่งปันไปยังผู้ที่อยู่รอบข้าง ผู้ใกล้ชิด ใครเข้ามาใกล้ ก็อยากให้เขาเข้าถึงธรรมกาย
อยากให้เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว
และจาก ณ จุดนี้ จะสั่งสมบุญอะไร
มันจะได้มากเป็นพิเศษ มากกว่าคนที่ยังไม่สว่าง ยังมืดอยู่ มากกว่ามาก
มันมากเหลือเกิน จะให้ทานผลแห่งมหาทานบารมีก็มาก จะรักษาศีล ศีลบารมีก็มาก จะเจริญภาวนา
ภาวนาก็เป็นเยี่ยม แล้วก็ดีขึ้นไปตามลำดับ
เดี๋ยวก็เห็นธรรมกายในธรรมกาย
เห็นต่อเนื่องกันเป็นสายผุดผ่านในกลางกายเป็นสาย และขยายไปทุกทิศทุกทาง
เราจะรู้จักคำว่า เห็นได้รอบตัวเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก แล้วเราคิดไม่ถึงว่าการเห็นชนิดนี้จะมีอยู่ในโลก
เพราะปกติเราจะเห็นของข้างหน้า ต้องมองไปข้างหน้า จะเห็นของข้างหลัง ต้องกลับหลังหัน
จะเห็นของทางซ้ายต้องเหลียวซ้าย อยากจะเห็นของทางขวา ต้องเหลียวขวา
อยากจะเห็นของข้างบนต้องเงย อยากเห็นข้างล่างก็ต้องก้ม มันต้องใช้ได้หลายๆ
ครั้งจึงจะครบถ้วน เพราะมันได้ทีละอย่าง แล้วเราจะรู้จักว่า เออ
การเห็นอย่างนี้มันมีจริงๆ เห็นไปทุกทิศทุกทางในเวลาเดียวกัน
แล้วจากตรงนี้ จะเป็นอุปกรณ์สำคัญในการศึกษาเรื่องราวที่เราปรารถนาจะรู้
ใคร่รู้ จะรู้เรื่องราวของชีวิต เกิดมาจากไหน มาทำไม อะไรคือเป้าหมายของชีวิต
และจะเข้าถึงเป้าหมายชีวิตนั้นได้ด้วยวิธีการใด ถึงแล้วดีอย่างไร ก็จะรู้เรื่องราว
หรืออยากจะรู้ว่า เรื่องภพ เรื่องชาติ นรกสวรรค์ มีจริงไหม
ก็สามารถศึกษาได้ด้วยตัวของตัวเอง โดยอาศัยมองผ่านความสว่างภายใน ด้วยธรรมกาย
หรือจะปล่อยกายไปถึงภพภูมินั้นก็ได้ มันได้ตั้งหลายวิธีการในกลางของกลางนั้น
เมื่อได้ศึกษาวิชชาธรรมกาย
ความสงสัยเรื่องภพ เรื่องชาติ เรื่องนรก สวรรค์ กฎแห่งกรรมว่า ประกอบเหตุอย่างนี้ ไม่ว่าดีหรือชั่ว
ผลจะเป็นอย่างไร หรือผลที่เราเจอในปัจจุบัน ไม่ว่าสุขหรือทุกข์มาจากเหตุอย่างไร
เราก็จะได้เรียนรู้เรื่องเหตุเรื่องผล
ซึ่งเราไม่เคยรู้มาก่อนเลย
เราเชื่อแต่ในสิ่งที่เราได้เห็นในปัจจุบันนี้เท่านั้น
แล้วเห็นก็ไม่ถูกเสียด้วย บางทีถูก บางทีก็ไม่ค่อยถูก แต่ ณ
จุดที่เข้าถึงพระรัตนตรัยในตัว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่
ทันทีที่เราปิดเปลือกตา
โลกและจักรวาลก็จะอยู่ในสายตาของธรรมกาย มันสว่าง แล้วความรู้ที่เกิดขึ้น มันก็คู่กับความสุข
คู่กับความบริสุทธิ์ คู่กับความสว่าง ความปีติ ความเบิกบาน กับสิ่งที่ดีงาม
กุศลธรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น
คุณธรรมและคุณวิเศษ มีอยู่ในตัวของทุกคนในโลกนี้
แต่เขาไม่เฉลียวใจว่า มี และก็ไม่เชื่อที่ผู้รู้เขามาบอกเสียด้วย ดื้อดึงบ้าง ดื้อด้านบ้าง
ไม่เชื่อ แล้วก็เถียง แล้วก็ไม่ยอมที่จะพิสูจน์ จะค้นคว้า
จะเอาข้างเข้าถูกันไปอย่างนั้น
สิ่งนี้มีอยู่ มีจริง เข้าถึงได้จริง ถ้าทำถูกหลักวิชชา
แล้วก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตของเรา เพราะเราเกิดมาต่างก็ปรารถนาจะได้ความสุขที่แท้จริง
เป็นสุขเสรี กว้างขวาง เป็นอิสระ นี่คือความปรารถนาของเรา
แต่ทั้งหมดนี้มันอยู่ในตัวเรา จะนั่งเป็นสุข ยืน เดิน นอนเป็นสุข เมื่อเราเข้าถึงจุดนี้
แม้ว่าเราจะเจ็บ
จะป่วย จะไข้ ด้วยวิบากกรรมที่ทำมาในอดีต มันก็ป่วยแค่กาย แต่ใจสบาย มีที่พึ่ง มีหลักยึด
มีกายอยู่ในตัว นั่งก็เป็นสุข ยืนเป็นสุข เดินเป็นสุข นอนเป็นสุข
อยู่คนเดียวก็ไม่เหงา ไม่ว้าเหว่ จะอยู่ในวัยไหนก็ตาม แม้แต่วัยชรา อยู่คนเดียวก็ไม่เหงา
มีพระในตัวให้มอง มีเรื่องราวของชีวิตให้เห็น จากการมองผ่านด้วยสายตาแห่งธรรมกาย
แห่งธรรมจักษุ และญาณทัสสนะ มันสำคัญอย่างนี้นะลูกนะ
เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ ควรทำ ต้องทำ แล้วเราจะเจอ
แล้วตอนสุดท้ายของชีวิต
ซึ่งเรากำหนดกะเกณฑ์ไม่ได้ว่า วันไหน เวลาไหน สถานที่ไหน ด้วยโรคอะไร หรือด้วยวิธีการใด
มันจะต้องมาถึงสักวันหนึ่ง แต่ถ้าเรามีที่พึ่งภายในได้แล้ว
มันไม่หวาดเสียว มันไม่สะดุ้งกลัวต่อมรณภัย เพราะเรารู้แล้วว่า เราจะตายอย่างไร
เราจะไปสู่ปรโลกอย่างไร อย่างที่ผู้รู้เขาเดินทางกันไป ไปแล้วปิดประตูอบาย
เปิดประตูสวรรค์
ผู้ที่อยู่ในโลกนี้ ที่เขากลัวตายกัน เพราะไม่รู้ว่า ตายแล้วไปไหน
ตอนมีชีวิตอยู่ ยังแข็งแรงและเพียบพร้อมไปด้วยโภคทรัพย์ บริวารสมบัติ ก็ปากแข็งกันไป ดื้อด้านกันไป แต่พอป่วยกันจริงๆ ที่ปากแข็ง มันแข็งแต่ปาก
แต่ใจนั้นหวาดเสียว วิตกกังวล ตรงนี้จะทำให้ไปอบาย เพราะใจหมอง
หรืออย่างน้อยไปในที่ที่เราน่าจะมีโอกาสดีกว่านี้ แต่ว่าเราไปไม่ได้
เราไปได้ในที่ที่ใจมันไม่หมองไม่ใส อย่างนั้น
นี่คือสิ่งที่มีความจำเป็นสำหรับชีวิตของเรา
โดยเฉพาะหมู่ญาติของเราที่ละโลกไปแล้ว
เขาอยากจะสื่อสารกับเรา แต่เขาอยู่กันคนละภพ คนละภูมิ เพราะฉะนั้นเวลาเขาสื่อสารมา เราก็ไม่รู้เรื่องราวของเขา
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่มาขวางกั้น
ซึ่งเราควรจะทลายกำแพงอันนี้ให้หมดไปด้วยการยอมฝึกใจให้หยุดนิ่งทุกๆ วัน ควบคู่กับภารกิจประจำวัน
จะทำมาหากิน หรือจะทำอะไรก็ทำไปเถิด
แต่ต้องให้โอกาสกับตัวเองในการฝึกฝนอบรมใจให้หยุดนิ่งๆ ให้ใจใสๆ ทุกๆ วัน ที่บ้าน
แล้ววันอาทิตย์เราก็มารวมประชุมกัน
มานั่งพร้อมๆ กัน เอาพลังหมู่ เพื่อที่จะทำให้เรามีกำลังใจ
หรือมีอารมณ์ที่จะหยุดจะนิ่ง ให้ใจใสๆ แล้วภาคบ่าย เราก็จะได้มาร่วมระลึกนึกถึงบุญ
อธิษฐานจิต อุทิศส่วนกุศล แล้วก็แก้ไขข้อบกพร่องของตัวเรา อย่างนี้ชีวิตของเราก็สมบูรณ์
ถ้ามีบุญใด
เราก็ต้องทำให้ได้ทุกบุญ เพราะว่าบุญเป็นที่พึ่งให้แก่เราไปในสังสารวัฏ ทุกภพทุกชาติ
ทั้งที่มีชีวิตอยู่ หรือในปรโลก เราต้องทำ มากบ้าง น้อยบ้าง เราก็ต้องทำกันไป ในระดับที่เราไม่เดือดร้อน
ซึ่งเราก็จะรู้ได้ด้วยตัวของเราเองว่า แค่ไหนมันเดือดร้อน แค่ไหนมันไม่เดือดร้อน
ทำด้วยตัวเองด้วย แล้วก็ไปชวนคนอื่นเขามาทำด้วย ทำบุญจนกว่าบุญนั้นเหนียวแน่น
ใจของเราทุกๆ ดวง ไม่มีช่องว่างให้บาปได้ช่องเลย ต้องทำกันให้ได้ถึงขนาดนั้น
เพราะฉะนั้น ให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมนะลูกนะ
นึกถึงพระทุกครั้ง ใจสูงขึ้นทุกครั้ง
การนึกถึงภาพองค์พระกลางดวงแก้วครั้งหนึ่ง จิตสำนึกของเราก็จะเปลี่ยนแปลงขึ้น
มันสูงขึ้น มันบริสุทธิ์ขึ้นทุกครั้งที่เรานึกถึงพระ
แม้ยังไม่มีภาพมาให้เราเห็นได้ชัดเจน หรือเห็นแค่คุ่มๆ ค่ำๆ รัวๆ รางๆ อย่างนั้น
ใจเราก็เปลี่ยนแปลงแล้ว สูงขึ้น
ประณีตขึ้น ถูกกลั่นให้บริสุทธิ์เพิ่มขึ้น
พอเรานึกบ่อยๆ
ความบริสุทธิ์ก็เติมเข้ามาบ่อยๆ จนกระทั่งถึงขีดๆ หนึ่ง มันก็พรึบเข้าไปได้
เหมือนน้ำที่หยดทีละหยดลงในตุ่ม ยังทำให้ตุ่มเต็มได้ฉันใด ใจที่ฝึกกันทุกๆ วัน จากมืดๆ
มัวๆ คุ่มๆ ค่ำๆ นึกถึงองค์พระกลางดวงแก้วไปทีละเล็กละน้อย สักวันหนึ่งก็จะสมหวังจนได้
เหมือนพระจันทร์ ไม่ใช่จู่ๆ
มันเต็มดวง มันก็มืดก่อน แล้วก็มาแหว่ง แหว่งมาก แหว่งน้อย จนกระทั่งเต็มดวง
มันก็ค่อยๆ เติมเต็มกันไปทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่ใช่พรวดพราดได้เลย ที่ได้เลยก็มีเหมือนกัน แต่ว่าถือเป็นกรณียกเอาไว้
เพราะเขาได้สั่งสมบุญใหญ่มาข้ามภพข้ามชาติ มามากกว่าเรา แล้วเขาทำอย่างสม่ำเสมอมา
พอถึงเวลาบุญส่งผล เขาก็พรึบได้เลย
ชาตินี้เรามีข้อสังเกตอยู่ว่า
ทำไมชีวิตเราลุ่มๆ ดอนๆ ทำไมปฏิบัติธรรมไม่ค่อยหยุดนิ่ง
นั่นก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อน ให้เห็นเงาของชีวิตที่ผ่านมาในอดีตว่า เราขี้เกียจฝึกหยุดฝึกนิ่งมาก่อน
เราเคยเจอกันมาแล้วบ้าง
หรือพวกเราเคยไปเจอผู้รู้มาบ้าง เขาแนะนำ เราก็ยังขี้เกียจอยู่
ชาตินี้มันก็มีอานิสงส์ของความขี้เกียจ คือมันก็มืดมากบ้าง มืดมัวบ้าง
มันก็เป็นกันอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อเราเห็นสิ่งที่สะท้อนถึงเงาในอดีตแล้ว
ปัจจุบันเราก็จะต้องสั่งสมการปฏิบัติให้มันเยอะๆ นะลูกนะ
หมั่นฝึกทุกวัน
ฝึกกันไปทุกวัน
ล้มลุกคลุกคลานกันไป เหมือนเด็กหัดเดินอย่างนั้น เดี๋ยวล้ม เดี๋ยวยืนได้
เดี๋ยวเดินเตาะแตะ เดี๋ยวก็เดินได้แข็งแรง เดี๋ยวก็วิ่งได้ แล้วก็ข้อสังเกต ถ้าเท้าข้างใดข้างหนึ่งยืนได้อย่างมั่นคง
อีกข้างหนึ่งก็จะก้าวไปได้อย่างมั่นคง แล้วก็จะไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย แล้วก็มีชัยชนะ
ใจมันฝึกกันไปทุกๆ
วัน เดี๋ยวมันก็หยุด เดี๋ยวมันก็นิ่ง เดี๋ยวมันก็มั่นคงจนได้ เมื่อข้างในหยุดนิ่ง
เดี๋ยวข้างนอกวิ่งไม่หยุด ข้างในนิ่ง ข้างนอกเคลื่อนไหว สองประสาน งานสร้างบารมีมันก็จะสำเร็จจนได้ เพราะฉะนั้นต้องขยันนะลูกนะ
หมั่นฝึกฝนอบรมใจกันไปทุกวันเลย
สักวันหนึ่งเราจะต้องเข้าถึงพระรัตนตรัยในตัวให้ได้
หลวงพ่อธัมมชโย
วันอาทิตย์ที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๕๔๖ เวลา
๑๓.๓๐ - ๑๖.๓๐ น.
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564