มีคำถามฝากผู้ประสานงานมาว่า
เนื่องจากเป็นคนรับผิดชอบงาน เอาใจใส่กับงาน เพราะฉะนั้นใจเลยหมกมุ่นอยู่กับงาน
บางครั้งมีความเครียด อย่างนี้จะเป็นความหมองไหม
คุณครูไม่ใหญ่
:
อย่างนี้ก็ถือว่า หมองนะ แต่เป็นความหมองที่เรามองไม่ค่อยเห็น มันก็ไม่ใช่ดี ไม่ใช่ชั่ว แต่มันจะไปมีผลในตอนใกล้จะละโลกนั่นแหละ
หมกมุ่นกับงานอะไร ภาพงานนั้นก็จะมา
แล้วที่เกิดความเครียด ก็เพราะคิดไม่ออก
ไม่รู้จะเอายังไง ดวงปัญญาไม่สว่าง
เพราะฉะนั้น จึงมีการบ้าน ๑ นาที / ๑ ชั่วโมง เอามาช่วยล้างใจ
๑ นาที / ๑ ชั่วโมง ซึ่งไม่ได้เสียเวลามากเลย ดีกว่าเรามานั่งคิดวนไปวนมา เอ๊ะ จะเอายังไง
เอากับใคร เอาที่ไหน เอาเวลาใด แล้วก็ไม่รู้จะยังไง ใช่ไหม
พระพุทธเจ้าท่านสรุปว่า ปัญหามี ๒ อย่าง
สเตกิจฉา กับอเตกิจฉา คือ ปัญหาที่แก้ได้
กับปัญหาที่แก้ไม่ได้ ปัญหาที่แก้ได้ก็มี
๒ อย่าง แก้เดี๋ยวนั้นได้ กับต้องใช้เวลาค่อย ๆ แก้
ถ้าหากว่า หัวโนเอายาหม่องทาได้
คันเราก็เกา สามารถแก้ตอนนั้นได้เลย
ถ้าแขนขาดก็ต้องใช้เวลา มีอุปกรณ์มีแขนเทียมมาต่อ
แต่ถ้าคอขาดก็ต้องไปเกิดมาใหม่ แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องยอมรับความจริงตรงนี้
ศึกษาให้เข้าใจ จะได้ไม่เครียดมาก เครียดพอประมาณ
เมื่อเราเจอปัญหา
คิดอะไรไม่ออก ก็ให้ออกจากความคิด ทำจิตให้สงบ
เดี๋ยวก็พบทางออก ถ้ามีเวลามาก นั่งสมาธิยาวไปเลย แต่ถ้าเวลาน้อย ขอ ๑ นาทีต่อ ๑ ชั่วโมง
เพื่อให้ใจเราได้หยุดนิ่งนึกถึงท่านผู้รู้ภายใน
แค่ ๑ นาที ใน ๖๐ นาที ซึ่งมันคุ้มเกินคุ้ม
ดีกว่าเราคิดวนไปวนมาตลอดชั่วโมง กับหยุดนิ่งแค่ ๑ นาที แล้วบางทีเกิดปิ๊งไอเดียตอนนั้น อย่าลืมนะ
ท่านผู้รู้ภายใน หรือพระรัตนตรัยภายใน ท่านมีอานุภาพมาก เราต้องนึกถึงท่านบ่อย
ๆ พอนึกถึงท่าน ท่านก็นึกถึงเรา
พอใจเรานิ่ง ๆ แค่ป้อนข้อมูลเข้าไป
เดี๋ยวความคิดดี ๆ ก็หลั่งไหลออกมาเลย
เพราะฉะนั้น จึงให้ทำการบ้านข้อนี้ แล้วที่บอกว่า
ทำไม่ได้ ๆ ความจริงคือ ไม่ได้ทำ
ถ้าได้ทำก็ทำได้ทุกอย่างล่ะ
ขอแค่ ๑ นาทีเท่านั้นเอง แล้วห้ามตกเบิกนะ
ไม่ได้ทำมา ๕ ชั่วโมง เอา ๕ นาที ไม่เหมือนกันนะลูกนะ
ฟังให้ดี จำให้ดี
คุณครูไม่ใหญ่
๒๖ กันยายน
พ.ศ. ๒๕๔๕
การบ้าน
(ข้อ ๘) ทุก ๑ ชั่วโมง ขอ ๑ นาที เพื่อหยุดใจนึกถึงดวง องค์พระ หรือทำใจนิ่ง ๆ
ว่าง ๆ ที่ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗
วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2560