สำหรับลูกบางคน ที่มีอาการเจ็บป่วยไข้
แล้วจะต้องเข้าไปรับการผ่าตัด ก็จะต้องฝึกใจให้หยุดให้นิ่ง ๆ นะจ๊ะ
ให้คิดตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ว่า
สังขารร่างกายเรานี้เป็นรังแห่งโรค โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคปาก โรคปอด ตับ ม้าม ไต
โรคสารพัด เป็นได้ร้อยแปดพันเก้า มันเป็นที่ประชุมรวมของโรค เขาเรียกว่า เป็นรังแห่งโรค
เรามีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา
เรายังไม่ชนะเขา บุญเรายังไม่มากพอ เพราะฉะนั้นเราจะต้องมีความเจ็บป่วยไข้เป็นธรรมดา
แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราพระองค์นี้
ท่านก็ยังอาพาธเหมือนกัน พระอัครสาวก พระสารีบุตร พระโมคคัลลา
ท่านก็ยังมีอาการเจ็บป่วยเหมือนกับเรานี่แหละ พระอสีติมหาสาวก
หรือพระอรหันต์ทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้
พระอริยบุคคล ตั้งแต่พระอนาคามี
พระสกิทาคามี พระโสดาบัน หรือเป็นโคตรภูบุคคล ท่านก็ต้องเจ็บ ต้องป่วยเหมือนกัน
อาพาธเหมือนกัน
จะเป็นผู้มีฌานสมาบัติ
เหาะเหินเดินอากาศได้ก็ป่วยไข้เหมือนกัน
จะเป็นพระราชา มหากษัตริย์ ถึงยาจก วณิพก
ล้วนต้องมีความเจ็บเป็นธรรมดา
ไม่ใช่ว่าเราป่วยอยู่คนเดียว คิดอย่างนี้นะลูกนะ
เพราะฉะนั้น
เมื่อถึงคราวที่เราจะต้องเข้าไปได้รับการรักษาที่โรงพยาบาล จำเป็นต้องผ่าตัด
เราก็นึกเอาร่างกายของเราเป็นห้องแล็บ เป็นที่ศึกษา ร่างกายนี้มีความเจ็บเป็นธรรมดา
มันเจ็บตรงไหน เราก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ทำความรู้ตัวให้พร้อม แล้วก็มอบร่างกายนี้
ความป่วยไข้นี้ให้กับหมอ พยาบาล ซึ่งเขามีความเชี่ยวชาญในการรักษา มอบให้เขาไปเลย
เรามีหน้าที่รักษาใจอย่างเดียว
ให้ใจใส ๆ
นึกถึงบุญบารมีความดีที่เราได้ทำเอาไว้
ทั้งทาน ทั้งศีล ทั้งภาวนา
บางท่านเป็นผู้ริเริ่มในการก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรม
ให้ที่บ้านเป็นที่ชุมนุมของผู้มีบุญ เป็นสโมสรของผู้มีบุญที่เขาจะมาประพฤติธรรม
เป็นการให้โอกาสเขาประพฤติธรรม ให้เขาได้ลิ้มรสธรรมทานซึ่งเป็นเลิศกว่าทานใด ๆ
เพราะวัตถุทานนั้นขจัดทุกข์แค่เพียงร่างกาย แต่ดับทุกข์ในใจไม่ได้
แต่การให้ธรรมทานเป็นการดับทุกข์ทางใจ
ให้เขาได้เรียนรู้วิธีการดับทุกข์ให้มีจิตใจอยู่เหนือความทุกข์ เหนือความเจ็บป่วย
เหนือโลกพ้นโลก ให้เข้าไปสู่ความสว่าง พ้นจากความมืด นี่มีอานิสงส์ใหญ่เราก็นึกถึงบุญนี้นะลูกนะ
นึกไปด้วยจิตที่เบิกบาน
แช่มชื่น ประหนึ่งว่า เราไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ป่วย ไม่ได้ไข้ เราไม่ได้เป็นอะไรเลย มันเป็นที่สังขาร
ที่ร่างกายเท่านั้น เมื่อมันเป็น ก็ให้หมอเขาเยียวยารักษาแก้ไขกันไป เหมือนรถเสีย ก็ต้องเข้าอู่ซ่อมรถ
มีช่างแก้ มีอุปกรณ์แก้ไขกันไป สรีรยนต์ก็ต้องเข้าโรงซ่อมเหมือนกัน
ทำใจให้เบิกบาน ให้อยู่เหนือความทุกข์
เหนือความวิตกกังวล อยู่ในบุญ แล้วก็ทำใจหยุดนิ่ง ๆ เฉย ๆ ในกลางศูนย์กลางกาย
ถ้าได้ดวงธรรม เราก็ตรึกในกลางดวง ถ้าได้กายภายใน เราก็ตรึกในกลางกายภายใน ถ้าได้องค์พระ
เราก็ตรึกในกลางองค์พระ ถ้ายังไม่ได้อะไรก็ภาวนา สัมมาอะระหัง เรื่อยไปเลย
ใจนิ่งอยู่ตรงกลางตรงนั้น
นึกอาราธนาพระนิพพาน พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ
คุณยายอาจารย์ของเรา ผู้มีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพ
พระอริยบุคคลทั้งหลายให้ลงมาปกปักรักษาเรา ขจัดสิ่งที่ไม่ดีภายในร่างกายให้หมดสิ้นไป
แล้วก็ทำใจให้ใส ๆ ราวกับเป็นผู้นิรทุกข์
ไม่เคยเจ็บ ไม่เคยป่วย ไม่เคยไข้เลย ให้ใจสบาย เบิกบาน แช่มชื่น ทำอย่างนี้นะ ไม่ช้าเราจะเข้าถึงธรรม
เป็นคนป่วยที่สง่างาม องอาจ สง่าผ่าเผย
อยู่ในสายตาของเทวดา ของชาวสวรรค์
เขาจะชื่นชม ยินดีกับผู้ป่วยที่มีที่พึ่งทางใจ ใจใส ๆ เพราะแม้ป่วยกาย แต่รัศมีธรรมจากใจก็สว่างวาบ
ดวงตาทุกคู่ของชาวสวรรค์ก็จะมามอง เราจะอยู่ในสายตาแห่งเทวดา แห่งชาวสวรรค์
แล้วเราก็นิ่ง ๆ ให้ใส ๆ อย่างสบาย ๆ
อธิษฐานให้หายเจ็บ หายป่วย หายไข้ เหมือนเข้าห้องเสริมสวยอย่างนั้นนะ สิ่งที่ไม่ดีก็เอาออกไป
ให้หลงเหลือแต่สิ่งที่ดี ๆ นะลูกนะ
ทำอย่างนี้นะ แล้วใจจะได้สดชื่น
เบิกบาน ในทุกสถานการณ์ เป็นคนเจ็บ คนป่วยที่ให้กำลังใจแก่หมอ พยาบาล และผู้มาเยี่ยมไข้
อย่างนี้เรียกว่า ป่วยอย่างสง่างาม สมกับเป็นนักรบกองทัพธรรม สมกับเป็นสาวก สาวิกาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สมกับเกิดมาสร้างบารมี เป็นผู้เข้าใจชีวิตเจนโลกอย่างนี้นะลูกนะ
คุณครูไม่ใหญ่
๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๕
(เช้า)
วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2565