๑๐. ข้าวสุก ๓ กษัตริย์
เมื่อพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์นิมิตแห่งความฝันประการที่
๙ จบแล้ว พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ทรงเล่านิมิตแห่งความฝันประการที่ ๑๐ ให้พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังต่อว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันได้ฝันเห็นข้าวสุกที่คนหุง ก็หุงข้าวจากหม้อใบเดียวกันแท้ ๆ แต่ข้าวในหม้อกลับสุกไม่เท่ากัน เมื่อคนหุงตรวจดูข้าวแล้ว จึงแยกข้าวออกมาได้เป็น ๓ ส่วน คือ ส่วนหนึ่งแฉะ ส่วนหนึ่งดิบ
อีกส่วนหนึ่งสุกกำลังดี นิมิตแห่งความฝันนี้จะมีผลเป็นอย่างไรหรือพระเจ้าข้า”
เมื่อพระบรมศาสดาได้สดับตรับฟังนิมิตแห่งความฝันประการที่
๑๐ ของพระเจ้า ปเสนทิโกศลจบแล้ว พระองค์ก็ทรงพยากรณ์ความฝันว่า
“มหาบพิตร ผลของความฝันนี้จะยังไม่เกิดขึ้นในสมัยของพระองค์ และในยุคสมัยที่พระศาสนาของเราเจริญรุ่งเรืองอยู่
แต่จะบังเกิดขึ้นในอนาคตกาล เมื่อโลกถึงยุคเสื่อม คือ มนุษย์เสื่อมจากศีลธรรมอันดีงาม
ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของพระราชาผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม
เมื่อใดที่พระราชาไม่ตั้งอยู่ในธรรม ข้าราชบริพาร สมณะพราหมณ์ และชาวประชาก็จะไม่ตั้งอยู่ในธรรมด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อแต่ละคนต่างไม่ตั้งอยู่ในธรรม ก็จะส่งผลทำให้สภาวอากาศของโลกแปรปรวน และทำให้เกิดลมพัดกรรโชกอย่างรุนแรง จนเป็นเหตุทำให้วิมานในอากาศของเหล่าเทวดาที่ดูแลความเป็นอยู่ของโลกมนุษย์สั่นสะเทือน
เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเทวดาจึงพากันโกรธที่มวลมนุษย์ต่างไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม
และก็จะพากันทำให้ฝนไม่ตก หรือถ้าตกก็ตกไม่สม่ำเสมอ หรือตกผิดฤดู ผิดที่ผิดทาง
เมื่อสภาพฝนฟ้าแปรปรวนหนักเข้า ข้าวกล้าในบางพื้นที่ก็จะเสียหายเพราะฝนตกชุก
ในบางพื้นที่จะงอกงามดีเพราะฝนตกกำลังดี และในบางพื้นที่ก็จะเหี่ยวแห้งตายเพราะฝนแล้ง เหมือนดั่งข้าวสุกที่หุงจากหม้อเดียวกัน แต่กลับสุกไม่เท่ากัน คือ ส่วนหนึ่งแฉะ ส่วนหนึ่งดิบ อีกส่วนหนึ่งสุกกำลังดีนั่นเอง
ฉะนั้น ความฝันนี้จะไม่ทำให้เกิดภัยใด
ๆ แก่มหาบพิตรอย่างแน่นอน เพราะสิ่งนี้จักบังเกิดขึ้นในอนาคต ขอเชิญมหาบพิตรตรัสเล่าความฝันประการที่ ๑๑ ต่อไปเถิด”
หมายความว่า พฤติกรรมของมนุษย์มีผลกระทบต่อสภาวะดินอากาศฟ้า
แล้วยังกระทบไปถึงส่วนละเอียดของวิมานอากาศเทวา
ซึ่งมีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องฝนฟ้า ซึ่งความรู้ตรงนี้มนุษย์ยังขาดแคลน
ทำให้เทวดาอยู่ไม่เป็นสุขจึงพากันโกรธที่มนุษย์ไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม
แปลว่า ศีลธรรมจึงเป็นเรื่องหลักเลย ถ้ามีศีลมีธรรมก็จะเกิดสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น สิ่งแวดล้อมดี
ดินอากาศฟ้าดี ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทำให้ข้าวกล้าอุดมสมบูรณ์ แต่ถ้าไม่ตั้งอยู่ในศีลในธรรมก็จะเกิดตรงกันข้าม
เพราะฉะนั้น สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน
ที่นอกเหนือจากพลังงานที่ทำให้โลกร้อนแล้ว
น่าจะมาจากความเร่าร้อนที่อยู่ภายในใจของมนุษย์
นี่คือสิ่งที่ชาวโลกยังไม่ได้พูดถึงว่า สาเหตุที่ทำให้โลกร้อนจริง ๆ แท้จริงแล้วมันร้อนมาจากตรงไหนกันแน่
หากเราสำรวจดูไปทั่วโลกจะเห็นว่า ปัจจุบันมนุษย์เสื่อมจากศีลธรรมกันเยอะมาก
แต่ก็ยังมีทางออก เพราะพระพุทธองค์บอกว่า จะไม่เกิดในยุคสมัยที่มนุษย์มีศีลธรรม
หรือยุคที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเราคือ ทำพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง แล้วก็นำทุกคนกลับเข้าสู่ศีลธรรม สิ่งที่จะเกิดนี้ก็จะไม่เกิด
เพราะฉะนั้น ยุคนี้เราถึงได้สร้างผู้นำฟื้นฟูศีลธรรมโลกขึ้น
เพื่อจะไม่ให้เกิดภาวะอย่างนี้ไปทั่วโลก เพราะฉะนั้นตื่นเถิด ต้องตื่นจากหลับกันแล้ว ที่ยังอยู่ในโลกมายา ที่กำลังหันหลังให้วัด หรือหันหลังจากศีลธรรม ต้องหันกลับมาแล้วล่ะ เพราะมันหมดเวลาที่เราจะไปทดลองวิทยาศาสตร์ เมื่อภาวะโลกร้อนเกิดแล้ว
เราก็สามารถทำให้เกิดสภาวะโลกเย็นกลับมาได้ด้วยการช่วยกันฟื้นฟูศีลธรรม
วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2564