ทางเดิน..ของใจ ๗ ฐาน
ง่าย..แต่..ลึก 1
(เมื่อเราได้สวดมนต์บูชาพระรัตนตรัยกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ต่อจากนี้ไปตั้งใจเจริญสมาธิภาวนากันนะ............)
...คราวนี้เรามาทบทวนหลักวิชชาที่พระเดชพระคุณหลวงปู่
วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ ท่านได้อบรมสั่งสอนมาว่า ทางเดินของใจนั้น
มีทั้งหมด ๗ ฐาน
ฐานที่ ๑ อยู่ที่ปากช่องจมูก หญิงข้างซ้าย ชายข้างขวา
ฐานที่ ๒ อยู่ที่เพลาตา ตรงตำแหน่งที่นํ้าตาไหล ท่านหญิง
อยู่ข้างซ้าย ท่านชายอยู่ข้างขวา
ฐานที่ ๓ อยู่กลางกั๊กศีรษะ ในระดับเดียวกับหัวตาของเรา
ฐานที่ ๔ อยู่ที่เพดานปาก ช่องปากที่อาหารสำลัก
ฐานที่ ๕ อยู่ที่ปากช่องคอ เหนือลูกกระเดือก
ฐานที่ ๖ อยู่ในกลางท้อง ระดับเดียวกับสะดือของเรา
สมมติว่าเราหยิบเส้นด้ายขึ้นมา ๒ เส้น นำมาขึงให้ตึง
จากสะดือทะลุ
ไปด้านหลังเส้นหนึ่ง จากด้านขวาทะลุไปด้านซ้ายอีกเส้นหนึ่ง
ให้
เส้นด้ายทั้งสองตัดกันเป็นกากบาท ตรงจุดตัดที่เล็กเท่ากับปลายเข็ม
นั่นคือ ฐานที่ ๖
ฐานที่ ๗ จะอยู่เหนือฐานที่ ๖ ขึ้นมา ๒ นิ้วมือ โดยสมมติ
เอานิ้วชี้กับนิ้วกลางมาวางซ้อนกัน และนำไปทาบตรงจุดตัดของ
เส้นด้ายทั้งสอง สูงขึ้นมา ๒ นิ้วมือ ตรงนี้เรียกว่า
ศูนย์กลางกาย
ฐานที่ ๗ เป็นที่ตั้งใจของเราอย่างแท้จริง
จากฐานที่ ๑ ถึง ฐานที่ ๖ เป็นทางเดินของใจ แต่ฐานที่ตั้ง
ของใจที่แท้จริง คือ ฐานที่ ๗ เราจะต้องเอาใจมาหยุดนิ่งที่ฐานที่
๗
ให้ได้ตลอดเวลาเลย
เราจะเห็นฐานที่ ๗ ได้ชัดเจนก็ต่อเมื่อใจหยุดสนิทถูกส่วน
สมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว แต่ตอนนี้เรายังเป็นผู้ฝึกใหม่
ใจยัง
ไม่หยุดนิ่ง ก็ให้สมมติเอาว่าอยู่ในกลางท้อง ในระดับที่เหนือจาก
สะดือขึ้นมา ๒ นิ้วมือ หรือจำง่าย ๆ ว่า อยู่ตรงกลางท้องของเรา
ฐานที่ ๗ ต้องการแค่ให้รู้จักว่าอยู่ตรงนี้ ไม่ใช่เอาไว้สำหรับไป
ควานหาว่าอยู่ตรงไหน ไม่ต้องนะ สมมติว่าอยู่กลางท้องในตำแหน่ง
ที่เรารู้สึกว่าสบาย แล้วเราพึงพอใจที่จะเอาใจเรามาวางไว้ตรงนี้
วิธีนึกบริกรรมนิมิต
คราวนี้ปฏิบัติตามหลักวิชชาที่พระเดชพระคุณหลวงปู่
วัดปากนํ้า ภาษีเจริญ ท่านให้นึกถึงดวงใสประดุจเพชรลูกที่เจียระไนแล้ว
ไม่มีตำหนิ ไม่มีขีดข่วนคล้ายขนแมว โตเท่ากับแก้วตาเป็นบริกรรม
นิมิต แล้วท่านก็สอนให้เอาใจมาหยุดนิ่ง ๆ ที่กลางดวงใส
ๆ ตรง
ตำแหน่งที่เรามั่นใจว่าเป็นฐานที่ ๗ แล้วก็ประกอบบริกรรมภาวนา
สัมมา อะระหัง ทุกครั้งที่ภาวนาจะต้องไม่ลืมนึกถึงดวงใส
ๆ ประคอง
ใจกันไปอย่างนี้ นี่คือหลักวิชชาที่ท่านสอนเอาไว้
ทีนี้บางท่านทำอย่างนี้แล้วมันตึง มันเกร็ง แล้วนึกไม่ออก
จะนึกถึงสิ่งที่เราคุ้นเคยเป็นบริกรรมนิมิตก็ได้ ขายทุเรียนก็นึกทุเรียน
ขายเงาะ ขายมังคุด ขายลองกอง มะกรูด มะนาว มะพร้าว
ส้มโอ
เราก็นึกถึงสิ่งนั้น ขายปาท่องโก๋ก็นึกปาท่องโก๋ก็ได้
ขายซาลาเปาก็
นึกได้ ไส้หวาน ไส้เค็ม ไส้เค็มมันก็ย่น ๆ หน่อย
มีบางคนนึกถึงซาลาเปาเพราะขายซาลาเปา มองไปมองมา
กลายเป็นซาลาเปาแก้วใสแจ่มปรากฏอยู่ในกลางกายฐานที่
๗
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาขายดิบขายดีทีเดียว ให้เรามองต่อไป
เดี๋ยว
ซาลาเปาแก้วก็จะเป็นดวงปฐมมรรค นี่เราทำอย่างนี้ก็ได้นะ
ถ้าขาย
เพชร ขายพลอย ขายไข่มุก เราก็นึกเอา คุ้นเคยอย่างไหนเราก็เอา
อย่างนั้น นึกอย่างสบาย ๆ ดูไปเรื่อย ๆ จะประคองใจด้วย
สัมมา
อะระหัง ก็ได้ หรือจะไม่ภาวนาก็ไม่เป็นไร
ไม่ชอบนึกนิมิต-ก็ไม่ต้องนึก
การนึกนิมิตนี้เหมาะสำหรับผู้ที่นึกเป็น คือ นึกแล้ว
ไม่ตึง ไม่เกร็ง นึกแล้วสบาย ก็ให้นึกนิมิตไป แต่ผู้ที่
นึกแล้วไม่สบาย มันตึง อดที่จะไปลุ้น ไปเร่ง ไปเพ่ง
ไปจ้องไม่ได้ ก็ให้เปลี่ยนวิธีการ เปลี่ยนมาเป็นแบบที่
ไม่ต้องนึกถึงนิมิต คือ เอาใจของเรามาหยุดนิ่ง ๆ อยู่
ในฐานที่ ๗ หรือกลางท้องตำแหน่งที่เรามั่นใจว่านี่คือ
ฐานที่ ๗ เอาใจมาหยุดนิ่ง ๆ ตรงนี้ก็ได้
หยุดเบา ๆ อย่างสบาย ๆ อยู่กับความมืดไปก่อน เหมือนเรา
นั่งอยู่ในยามราตรที่มืดมิดด้วยใจที่เป็นสุขใจที่สบาย
จะภาวนา สัมมา
อะระหัง เป็นเพื่อนด้วยก็ได้ หรือจะอยู่เฉย ๆ อย่างนั้นก็ได้
หยุดอย่าง
สบาย ๆ นิ่ง ๆ วางเบา ๆ ค่อย ๆ คลี่คลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ
เดี๋ยวมันก็จะค่อย ๆ โล่ง โปร่ง เบา สบายไปเรื่อย
ๆ
ความมืดเป็นมิตร
ความมืดเป็นมิตร ไม่ได้เป็นศัตรูกับการเข้าถึงธรรม
เป็นความมืด
ที่น่ารัก ถ้าเรารู้จักที่จะอยู่กับความมืด ความมืดก็จะเป็นเกลอ
เป็นสหายของเรา อย่ากังวลกับการเห็นภาพ หรือว่าต้องเห็นอะไร
อย่างนั้น อยู่กับความมืดอย่างสบาย ๆ อย่างนี้ไปเรื่อย
ๆ
ยิ่งมืดก็ยิ่งดึก ยิ่งดึกก็ยิ่งใกล้สว่าง ไม่ช้าความสว่างก็จะมาเอง
อยู่กับความมืดด้วยใจที่สบาย ๆ เบิกบาน แล้วก็อย่าให้มีความคิด
ว่า เออ มืดอย่างนี้แล้วเมื่อไรดวงสว่างจะมาปรากฏ
อย่านึกคิด
อย่างนี้ อยู่กับความมืดด้วยใจที่นิ่งสงบ ให้เราคุ้นกับความมืด
อย่างนั้นไปก่อน อย่าไปตีโพยตีพายว่า ไม่เห็นจะได้อะไรเลย
ความ
สว่างไม่เห็นมา
ต้องนึกเหมือนเรานั่งเงียบ ๆ ในคืนที่มืดมิด สมมติว่ามันเป็น
เวลาตี ๑ เราก็ต้องยอมรับว่านี่คือตี ๑ ถึงจะตีโพยตีพายอย่างไรดวง
อาทิตย์ก็ไม่มาปรากฏให้เราเห็นหรอก แม้ตี ๒ ตี ๓ ตี
๔ ตี ๕ ก็เช่น
เดียวกัน จนกว่าจะถึงเวลาอันเหมาะสมใกล้รุ่งแสงเงินแสงทองจึงจะ
มาปรากฏให้เราได้เห็น และแหล่งกำเนิดของแสงเงินแสงทองเป็นดวง
สีแดง ๆ ยามอรุโณทัยจึงจะมาภายหลัง ถ้าเรานั่งนิ่ง
ๆ โดยไม่กังวล
อะไร เหมือนนั่งในยามรัตติกาลในคืนเดือนมืดอย่างนี้
ไม่ช้าลูกจะ
สมหวัง คือใจจะสงบ ไม่ทุรนทุราย มันจะหยุดนิ่ง จะสว่างไปเอง
แสงแห่งความบริสุทธิ์
เมื่อสว่างแล้วก็อย่าไปตื่นเต้น อย่าไปสงสัยด้วย บางทีพอ
สว่าง อ้าว สงสัยอีกแล้ว เอ๊ะ เราเปิดไฟไว้หรือเปล่า
แสงมันแทงทะลุ
เปลือกตาเข้ามาในท้องหรือเปล่า
ไม่ต้องไปสงสัยว่าแสงมันมาจากทางไหน เราเปิดไฟหรือเปล่า
ไม่ต้องไปคิดเลย ให้ทำเฉย ๆ มีแสงสว่างมาก็ดีแล้ว
อย่าสงสัย อย่า
ตื่นเต้น มันก็เป็นเหมือนกับแสงเงินแสงทองที่ปรากฏตอนรุ่งอรุณ
นั่นแหละ แต่นั่นมันแสงภายนอก นี่เป็นแสงภายใน เกิดขึ้นเมื่อ
ใจบริสุทธิ์ เป็นแสงแห่งความบริสุทธิ์ เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่ใคร่ใน
ธรรม ฝึกใจให้หยุดนิ่ง ๆ แล้วเดี๋ยวแสงเงินแสงทองภายในก็จะมาปรากฏ
เป็นเรื่องปกติธรรมดา
ถ้าเราคิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา มันก็จะไม่ตื่นเต้นเหมือนเรา
เห็นดวงอาทิตย์ในยามเช้าของทุกเช้าอย่างนั้น และความไม่ตื่นเต้น
ตรงนี้จะทำให้ใจนิ่งลงไปอีก หยุดนิ่งไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เห็นดวงใส
ๆ
ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของแสงภายใน แล้วเดี๋ยวก็เห็นกายในกาย
เห็น
องค์พระ เห็นไปตามลำดับอย่างนี้
เมื่อเข้าใจดีแล้ว ต่อจากนี้ไปวางใจเบา ๆ หยุดนิ่ง
ๆ ใจใส ๆ
เรื่อยไปเลย จนกว่าจะเข้าถึงธรรมะภายใน ต่างคนต่างนั่งกันไปเงียบ ๆ นะ
พฤหัสบดีที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๕
วันจันทร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560